สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย นายนาวินกล่าวต่อไปว่า "ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลงในเกือบทุกช่วงอายุตราสาร เนื่องจากมีแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเป็นการเข้าซื้อในตราสารหนี้ระยะสั้น ทั้งนี้คาดว่าตลาดได้รับผลกระทบหลักจากปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ การที่ธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.5% โดยนโยบายดังกล่าวได้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา รวมถึงการที่ตลาดมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยในรอบการประชุมเดือนมีนาคมนี้ พร้อมทั้งอาจมีการส่งสัญญาณชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป นอกจากนี้ความผันผวนที่เกิดขึ้นในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ทำให้นักลงทุนหันกลับเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก บลจ.กสิกรไทยแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้ที่มีกำหนดอายุเวลาประมาณ 3-6 เดือน เพื่อเป็นการพักเงินและรอดูความชัดเจนด้านทิศทางเศรษฐกิจ และเพื่อจับจังหวะเข้าลงทุนต่อไป"
บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ ของบลจ.กสิกรไทย
นายนาวินกล่าวถึงรายละเอียดของกองทุนต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน เอส (KFF3MS) เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก Commercial Bank of Qatar, ประเทศกาตาร์ และเงินฝาก Union National Bank, ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ยังลงทุนเพิ่มเติมในพันธบัตรรัฐบาลประเทศญี่ปุ่น โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว โดยผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
นอกจากนี้บลจ.กสิกรไทย ยังขอแนะนำกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน ซีโอ (KEFF6MCO) เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี, เงินฝาก Union National Bank, ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เงินฝาก First Gulf Bank, ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และตราสารหนี้ VakifBank, ประเทศตุรกี นอกจากนี้ยังลงทุนเพิ่มเติมในพันธบัตรรัฐบาลประเทศญี่ปุ่น โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KEFF6MCO และกองทุน KFF3MS สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com