สาเหตุหลักที่ผลการดำเนินงานรวมต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ มีดังต่อไปนี้
1) บริษัทฯมีความจำเป็นต้องปิดซ่อมใหญ่ชั่วคราวของโรงไฟฟ้าสองแห่งที่หาดใหญ่และสระแก้ว ทั้งนี้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าให้ได้มากยิ่งขึ้น
1.1 โดยที่โรงไฟฟ้าขยะที่หาดใหญ่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าจาก 4.3 เมกะวัตต์เป็น 5.4 เมกะวัตต์ ดังนั้นแม้โรงไฟฟ้าจะสูญเสียรายได้ในช่วงปิดซ่อมโรงไฟฟ้าเป็นระยะเวลาประมาณ 20 วัน แต่บริษัทฯก็ได้ชดเชยมาด้วยรายได้ขายกระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจาก 600,000 บาทต่อวัน เป็น 800,000 บาทต่อวัน
1.2 สำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลที่สระแก้วนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องหยุดซ่อมใหญ่เป็นเวลา 2 เดือนช่วงปลายปีที่ผ่านมาเพื่อเปลี่ยนท่อไอน้ำรุ่นใหม่ให้มีประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นคิดเป็นรายได้เฉลี่ยประมาณ 600,000 บาทต่อวัน นอกจากนี้ที่ผ่านมาบริษัทฯได้ต่อสู้กับการปรับตัวสูงขึ้นของต้นทุนการเผาเชื้อเพลิงมาตลอดในราคาเฉลี่ยประมาณ 1,200 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของโรงไฟฟ้า ฉะนั้นบริษัทฯจึงทำการปรับเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงอัดแท่ง RDF (Refuse Derived Fuel) ที่มีราคาถูกลงประมาณ 1 ใน 3 ของราคาเชื้อเพลิงเดิม คิดเป็นต้นทุนเฉลี่ยใหม่ที่ 700 บาทต่อตัน ซึ่งการปรับเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงนี้จำเป็นต้องหยุดปรับปรุงโรงไฟฟ้าเช่นกัน อย่างไรก็ตามภาครัฐกำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนระบบการคิดค่าไฟจาก adder บวก Ft ที่ราคา 3.73 บาทต่อหน่วยในปัจจุบันเป็นระบบ FiT (Feed-In-Tariff) ซึ่งเมื่อบวก Ft Premium อีก 0.30 บาทจะมีราคาขายไฟฟ้าใหม่ที่ 4.74 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้รายได้ขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจะปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 13
2) บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เพิ่มขึ้นเป็นจานวนเงิน 72.95 ล้าน หรือ คิดเป็นอัตราร้อยละ 33.65 เป็นผลสืบเนื่องมาจากมีค่าใช้จ่ายด้านบุคคลากรเพิ่มขึ้นจากการมีบริษัทย่อยเพิ่มขึ้น และมีค่าใช้จ่ายในช่วงที่หยุดผลิตเพื่อปรับปรุงเครื่องจักร
อย่างไรก็ตามบริษัทฯมีความคืบหน้าการขอใบรง.4ของโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่จังหวัดระยอง โดยคาดว่าจะได้ใบรง.4 ภายใน 15 วัน พร้อมที่จะนำเม็ดพลาสติกที่ผลิตอยู่ในคลังสินค้ารอจำหน่ายให้กับลูกค้าที่ลงนามสัญญา MOU ทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 8 บริษัทเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยมียอดสั่งซื้อรวมกว่า 130 ล้านบาท
ที่มา:นักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง