น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่าแนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยมีแรงหนุนจากตลาดต่างประเทศที่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะใช้มาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (QE) เพิ่มเติมและธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% - 0.50% ในการประชุมวันที่ 15 - 16 มีนาคม 2559 นี้ จากเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น พร้อมทั้งการทำ Window Dressing ปลายเดือนมีนาคมปิดงวดสำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2559
อย่างไรตามปัจจัยที่กดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ยังคงมีต่อเนื่อง โดยในวันที่ 31 มีนาคม 2559 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจประเทศไทยและน่าจะประกาศปรับลดเป้าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจของไทย (GDP) หลังจากเศรษฐกิจไทยมีทิศทางแผ่วลงเห็นได้จากตัวเลขการส่งออกในเดือนมกราคมที่ติดลบ 9.3% พร้อมกันนี้ ตัวเลขส่งออกของจีนออกมาแย่ที่สุดในรอบ 7 ปี ในเดือนกุมภาพันธ์ มียอดส่งออกร่วงลง 20.6% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 8.218 แสนล้านหยวน (1.263 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขณะที่ยอดการนำเข้าลดลง 8% สู่ระดับ 6.123 แสนล้านหยวน ส่วนยอดขาดดุลการค้าต่างประเทศเดือนกุมภาพันธ์ ของจีนร่วงลง 43.3% เทียบรายปี สู่ระดับ 2.095 แสนล่านหยวน
ด้านนายชัยยศ จิวางกูรผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก ประเมินกลยุทธ์การลงทุนใน SET ว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยภาวะตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้ายังคงได้รับปัจจจัยหนุนเชิงบวกจากคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (FED Fund Rate) ที่ระดับเดิมที่ 0.25% - 0.50%
ดังนั้นคาดว่า SETจะปรับตัวขึ้นเพื่อทดสอบแนวต้านเชิงจิตวิทยาที่ระดับ 1,410 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ระดับ 1,365 จุด แนะนำลงทุนในหุ้นมาร์เก็ตแคปสูงที่คาดจะเป็นเป้าหมายในการทำ Window Dressing ในช่วงปลายเดือนได้แก่ AOT, SCC, ADVANC, KBANK และ SCB
สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่าราคาทองคำเริ่มพักตัวลง จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนหลังราคาทองปรับขึ้นมามากในช่วงก่อนหน้าจากแรงหนุนเรื่องการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังสหรัฐเปิดเผยยอดส่งออกและยอดนำเข้าเดือนมกราคมร่วงลงอย่างหนัก ส่งผลให้ตัวเลขการขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้นในเดือนมกราคม และที่ล่าสุดสำนักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงานยอดส่งออกเดือนกุมภาพันธ์ ร่วงลง 20.6% เมื่อเทียบรายปี ที่มียอดการนำเข้าลดลง 8% เมื่อเทียบรายปี จากตัวเลขการค้าของจีนที่ออกมาย่ำแย่สร้างความกังวลต่อความต้องการทองคำอาจลดลง
อย่างไรก็ตามจากความกังวลถึงแนวโน้มเศรษฐกิจจีนบวกกับราคาน้ำมันดิบที่เริ่มปรับลดลงทำให้โกลด์แมนแซคส์แสดงความคิดเห็นว่าการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันในระยะนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วเกินไปและจะไม่ยั่งยืนจะสร้างแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน รวมถึงการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจจะไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยเฟดจะมีการประชุมครั้งต่อไปวันที่15 ถึง16 มีนาคมนี้ จะเป็นปัจจัยดึงดูดให้นักลงทุนมีแนวโน้มกลับมาลงทุนในทองคำอีกครั้ง
ดังนั้น ประเมินแนวโน้มราคาทองคำโลกด้านเทคนิคว่า ราคาทองมีแนวโน้มปรับลงต่อจากการพักฐานออกข้างมาระยะหนึ่งก่อนปรับลงมาต่ำกว่าแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน ด้วยการเรียงตัวแท่งเทียนสัญญาณลบเป็นสัญญาณอ่อนแรง ขณะที่ค่าสัญญาณ RSI ที่อยู่ใกล้แนวเขตซื้อมากไปและเริ่มปรับลงจากสัญญาณ BEARISH DIVERGENCE เป็นแรงกดดันเสริม ทำให้ราคามีโอกาสพักฐานในแนวโน้มขึ้นและปรับลงต่อ โดยให้แนวรับ1,205 –1,200 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,295 -1,300 เหรียญต่อทรอยออนซ์