สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย นายนาวินกล่าวว่า "ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลงในเกือบทุกช่วงอายุตราสาร เนื่องจากได้รับปัจจัยจากต่างประเทศกรณีธนาคารกลางยุโรปออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม โดยมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งนับเป็นระดับต่ำสุดในประวัติการณ์ ขณะที่ความเสี่ยงด้านเงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่ถือตราสารหนี้ไทยมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับในภูมิภาค อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ตลาดคาดว่ากนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำและเศรษฐกิจไทยชะลอตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศ ภาวะภัยแล้ง และการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า สำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก บลจ.กสิกรไทยแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้ที่มีกำหนดอายุเวลาประมาณ 3-6 เดือน เพื่อรอความชัดเจนด้านทิศทางเศรษฐกิจและเพื่อจับจังหวะเข้าลงทุนต่อไป"
บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ ของบลจ.กสิกรไทย
นายนาวินกล่าวถึงรายละเอียดของกองทุนต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน ที (KFF3MT) เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก First Gulf Bank และเงินฝาก Union National Bank, ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ยังลงทุนเพิ่มเติมในพันธบัตรรัฐบาลประเทศญี่ปุ่น โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว โดยผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
นอกจากนี้บลจ.กสิกรไทย ยังขอแนะนำกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน ซีพี (KEFF6MCP) เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี, เงินฝาก Union National Bank, ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เงินฝาก First Gulf Bank, ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และตราสารหนี้ VakifBank, ประเทศตุรกี นอกจากนี้ยังลงทุนเพิ่มเติมในพันธบัตรรัฐบาลประเทศญี่ปุ่น โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KEFF6MCP และกองทุน KFF3MT สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com