อินโดนีเซียขยับเข้าใกล้ท้าทายบทบาทประเทศไทยกับการเป็นผู้นำการผลิตยานยนต์อุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน

พฤหัส ๑๗ มีนาคม ๒๐๑๖ ๑๗:๐๒
ตามที่ นายมาร์คัส เฌอเฮอร์ หัวหน้าทีมที่ปรึกษาธุรกิจยานยนต์ บริษัทอิปซอสส์ บิสสิเนส คอนซัลติ้ง ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า สัญญาณทางเศรฐกิจในขณะนี้กำลังบ่งชี้ว่าอินโดนีเซียกำลังจะก้าวแซงประเทศไทย และกลายมาเป็นผู้นำการผลิตยานยนต์ในภูมิภาคอาซียน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะมีอิทธิพลมากต่อการตัดสินใจในการวางกลยุทธ์ของผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยานยนต์ และผู้วางแผนนโยบายในทั้งสองประเทศ เนื่องจากปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์อินโดนีเซียเติบโตอย่างต่อเนื่องตามการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ นับเป็นช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต้องตื่นตัวและปรับตัวครั้งสำคัญ

"แนวโน้มการผลิตยานยนต์ การแก้ไขและออกนโยบายสนับสนุน รวมไปถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศของรัฐบาลอินโดนีเซียกำลังเป็นตัวบ่งชี้ว่าอินโดนีเซียกำลังมุ่งสู่การพัฒนาขีดความสามารถในการกระตุ้นการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และการส่งเสริมการส่งออก ผู้ผลิตยานยนต์และผู้วางแผนนโยบายในทั้งไทยและอินโดนีเซียจึงควรจับตามองการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างใกล้ชิด" นายมาร์คัส กล่าว

ประเทศไทยนั้นครองตำแหน่งผู้นำการผลิตยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียนมานาน ปริมาณการผลิตประจำปี 2558 ของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านหน่วยต่อปี ในขณะที่ปริมาณการผลิตของประเทศอินโดนีเซียอยู่ที่ 1.1 ล้านหน่วยต่อปี ถึงแม้ว่าอินโดนีเซียจะไล่ตามประเทศไทยมาติดๆในปริมาณการผลิตยานยนต์ และใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาค อินโดนีเซียนั้นยังไม่สามารถที่จะพัฒนาตลาดการส่งออกยานยนต์ได้เทียบเท่ากับไทย โดยที่ปริมาณการส่งออกยานยนต์ของอินโดนีเซียอยู่ที่ 23% โดยเปรียบเทียบกับปริมาณการส่งออกของไทยที่ 55% ของยานยนต์ที่ผลิตในประเทศ

เพื่อที่จะจะแซงหน้าประเทศไทยขึ้นมาเป็นผู้ผลิตยานยนต์อันดับหนึ่งในภูมิภาคนั้น อินโดนีเซียจะต้องปิดช่องว่างทั้งด้านการผลิตและการส่งออกนี้เสียก่อน โดยเทียบจากอัตราช่องว่างการผลิตยานยนต์ของทั้งสองประเทศในปี 2558 อยู่ที่ประมาณ 810,000 หน่วย

แต่ในปี 2563 นั้น อัตราช่องว่างการผลิตยานยนต์ถูกคาดการว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 465,000 หน่วยต่อปี บริษัทอิปซอสส์ บิสสิเนส คอนซัลติ้ง เชื่อว่า การลดลงของช่องว่างนี้จะสามารถทำได้โดยปัจจัยเหล่านี้:

การเพิ่มอัตราการผลิตของโรงงาน โดยที่อินโดนีเซียมีความสามารถการผลิตยานยนต์ได้ถึง 2 ล้านคันต่อปีในปี 2558 แต่กำลังการผลิตในประเทศขณะนี้นั้นอยู่ที่ 62% เท่านั้น

ถ้ากำลังการผลิตของอินโดนีเซียไม่มีการเปลี่ยนแปลง อินโดนีเซียจะต้องเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมมากถึง 2.6 ล้านดอลลาห์สหรัฐเพื่อสร้างโรงงานใหม่และพัฒนาโรงงานเดิมที่มีอยู่

รายงานล่าสุดของบริษัท อิปซอสส์ พบว่าแม้ว่าปัจจุบันอินโดนีเซียยังจะขาดความสามารถในด้านการส่งออก ทว่ายังมีศักยภาพภายในประเทศมากพอที่จะทำให้นักลงทุนมั่นใจในความสามารถในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังที่นายดักลาส แคสซิดี้ ตำแหน่งผู้จัดการประเทศอินโดนีซีย บริษัทอิปซอสส์ บิสสิเนส คอนซัลติ้ง กล่าวไว้ว่า "ผู้เล่นระดับโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังไม่ได้ขยายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศอินโดนีเซียนั้นจะต้องถูกถามถึงความสามารถของบริษัทในการครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียนที่มีประชากรมากกว่า 600 ล้านคน และความสามารถในการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่ครอบครองอยู่ในสภาวะที่บริษัทอี่นกำลังขยายเข้าสู่อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในอินโดนีเซียจะได้เปรียบทั้งในด้านราคา ขนาด และห่วงโซ่อุปทานของประเทศที่กำลังถูกเตรียมความพร้อมและพัฒนาเข้าสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียน"

นายชูเกียรติ วงศ์ทวีรัตน์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายที่ปรึกษาทางธุรกิจของบริษัทอิปซอสส์ บิสสิเนส คอนซัลติ้ง สำนักงานกรุงเทพฯ เห็นด้วยกับการวิเคราะห์สถานการณ์นี้ แต่มองว่าประเทศไทยนั้นยังมีโอกาสที่จะปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ โดยการปรับยุทธศาสตร์ เพราะประเทศไทยมีความพร้อมและได้เปรียบในการส่งออกไปสู่ตลาดอาเซียน เพราะไทยมีความโดดเด่นด้านการส่งออกอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งได้เป็นแรงดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในไทยขณะนี้ เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอาเซียนปีที่แล้ว ไทยผลิตรถยนต์ประมาณ 2 ล้านคัน ถือเป็น 1 ใน 12 ประเทศผู้ผลิตรถยนต์หลักของโลก อุตสาหกรรมยานยนต์จึงเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศ โดยไทยมีข้อได้เปรียบหลายประการ อาทิ มีที่ตั้งอยู่ตรงกลางอาเซียน มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน เป็นศูนย์กลางเครือข่ายการคมนาคมขนส่ง มีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดี มีแรงงานที่มีคุณภาพ ดังนั้น ไทยจึงเป็นประเทศที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมาเป็นเวลานานและในอนาคต หากอุตสาหกรรมยานยนต์ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไทยก็อาจจะไต่อันดับไปติดอันดับ 1ใน 10 ของโลกก็เป็นได้ หากแต่ความลังเลเพียงเล็กน้อยในการวางกลยุทธ์หรือพัฒนาแผนธุรกิจให้ทันกับความต้องการและเศรษฐกิจโลกก็อาจนำมาสู่ช่วงเวลาที่ยากลำบากของธุรกิจยานยนต์ในไทยได้

นายชูเกียรติยังกล่าวอีกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่หลายบริษัทได้ประกาศกลยุทธ์ที่จะถอนตัวออกจากตลาดอินโดนีเซีย โดยเฉพาะฟอร์ดมอร์เตอร์ และ เจนเนอรัลมอเตอร์ ในระหว่างที่บริษัทชั้นนำอื่นๆ เช่น โฟล์คสวาเกน ฮุนได และ มาสด้า ยังไม่ทำการเปิดเผยกลยุทธ์ที่แน่นอนในการรุกเข้าครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

"อินโดนีเซียยังคงต้องการนโยบายที่มั่นคง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะสนับสนุนยอดขายยานยนต์ที่ผลิตในประเทศ หากรัฐบาลอินโดนีเซียสามารถทำสิ่งที่กล่าวมานี้ได้สำเร็จ เราอาจได้เห็น 'ปรากฏการณ์โดมิโน่' ที่ส่งผลกระทบเชิงบวกกับอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในประเทศเกิดขึ้น ในขณะที่บริษัทยานยนต์ชั้นนำอื่นๆกำลังมองหาที่ตั้งฐานการผลิตแห่งใหม่และกำลังมีนโยบายขยายตลาดเชิงรุกในส่วนของเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายของพวกเขา ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของไทยในขณะนี้คือไทยจะสามารถคงเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ในอาเซียนในระยะยาวได้หรือไม่" นายชูเกียรติกล่าว

ทั้งนี้ อุปสรรคสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอินโดนีเซียยังคงเป็นบรรยากาศทางธุรกิจในประเทศ ประเทศอินโดนีเซียถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่ 109 จาก 198 ประเทศ โดยวัดจากดัชนีการจัดลำดับความยากง่ายในการดำเนินธุรกิจของธนาคารโลก ในขณะที่ประเทศไทยถูกจัดไว้อยู่ที่ลำดับที่ 49 รัฐบาลอินโดนีเซีย ณ กรุงจาการ์ต้า ตั้งเป้าหมายในการปรับปรุงอันดับของอินโดนีเซียให้ขึ้นมาอยู่ที่ 40 ภายในปี 2561 การพัฒนานี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับความร่วมมือและการมุ่งเน้นจากผู้วางแผนนโยบายในประเทศในระยะยาว นายมาร์คัส ตั้งข้อสังเกตว่า "การพัฒนาที่ผ่านมานั้นได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาล มาตรการผ่อนคลายระเบียบการถือครองของชาวต่างชาติ และ การผ่อนปรนขั้นตอนการขอใบอนุญาตให้มีความคล่องตัวมากขึ้น"

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๘ เม.ย. ARDA จับมือ ฟาร์ม เอ็กซ์โป และพันธมิตร เปิดศึก AGRITHON by ARDA Season 2 เฟ้นหาสุดยอดไอเดียปลุกพลังนวัตกรรมเกษตรไทย ชิงทุนวิจัยรวมกว่า 100
๑๘ เม.ย. กรุงศรี ฉลอง 80 ปี ดูหนัง 80 บาท ที่ Major Cineplex เมื่อชำระด้วยบัตรกรุงศรี เดบิตและบัตร Krungsri Boarding
๑๘ เม.ย. แบรนด์ซุปไก่สกัด รณรงค์ขับขี่ปลอดภัยในโครงการ สมองล้าอย่าขับ พักดื่มแบรนด์ จับมือ ตำรวจทางหลวง และ ตำรวจจราจร
๑๘ เม.ย. ซัมซุงจัดใหญ่! เป็นเจ้าของ ตู้เย็น Side by Side รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมรับสิทธิพิเศษแบบจุใจ ได้แล้ววันนี้
๑๘ เม.ย. ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดกนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนเมษายนนี้
๑๘ เม.ย. EXIM BANK ร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs รับมือนโยบายภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐฯ
๑๘ เม.ย. ปักหมุด! เตรียมจัดงาน PET Expo Thailand 2025 จัดยิ่งใหญ่ครบรอบ 25 ปี
๑๘ เม.ย. ลดคลายร้อน ช้อปแลคตาซอย 1,000 ลด 100 พร้อมชวนร่วมสนุกถ่ายภาพคู่แลคตาซอย ลุ้น 10 รางวัล
๑๘ เม.ย. DITP ประชุมผู้จัดแสดงสินค้า เตรียมความพร้อมสู่เวที THAIFEX - ANUGA ASIA 2025
๑๘ เม.ย. โรงแรมเครือดุสิตธานี เปิดตัวโปรพิเศษต้อนรับซัมเมอร์ 'A Night on Us' เติมเต็มวันพักผ่อนอย่างมีความสุขกับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตธานีทั่วโลก