แพทย์ผิวหนังเตือนเฝ้าระวัง AEC: โรคผิวหนังไร้พรมแดน

พฤหัส ๓๑ มีนาคม ๒๐๑๖ ๑๑:๔๗
รวมพลแพทย์ผิวหนัง ตอบโจทย์เปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประเทศไทยต้องเฝ้าระวังโรคติดต่อจากการย้ายถิ่นฐานของประชากรต่างด้าว ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาของโรคผิวหนังต่าง ๆ ที่เคยพบและหายไปจากประเทศไทย อย่างเช่น โรคเรื้อน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ โรคเท้าช้าง โรคลิชมาเนีย อาจจะพบได้ง่ายขึ้น จึงจำเป็นที่คนไทยจะต้องมีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community:AEC) ในปัจจุบัน ทำให้พฤติกรรมการโยกย้ายถิ่นฐานในการเข้าทำงาน การท่องเที่ยวหรือการเดินทางเข้ามายังประเทศไทย หรือประกอบกิจธุระอื่น ๆ ของชาวต่างชาติ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาของโรคผิวหนังต่าง ๆ ที่เคยพบและหายไปจากประเทศไทย อย่างเช่น โรคเรื้อน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ โรคเท้าช้าง โรคลิชมาเนีย อาจจะพบได้ง่ายขึ้น จึงจำเป็นที่คนไทยจะต้องมีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

ด้าน นพ.กฤษฎา มโหทาน นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำหรับโรคเรื้อนนั้น ประเทศไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง โดยสามารถกำจัดโรคเรื้อนจนไม่เป็นปัญหาสาธารณสุขตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ คือ อัตราความชุกโรคเรื้อนต่ำกว่า 1 ต่อ 10,000 ประชากร ตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบัน อยู่ใน "ระยะหลังกำจัดโรคเรื้อน" จากข้อมูลในปี 2549 - 2558 จำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ในประชากรไทยมีแนวโน้มลดลง คือ 615, 506, 401, 358, 405, 280, 220, 188, 208 และ 187 ราย โดยในปี 2558 จังหวัดที่พบจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่สูงสุด 5 ลำดับแรก คือ นราธิวาส 25 ราย, ศรีสะเกษ 14 ราย, ปัตตานี 13 ราย, ชัยภูมิ 10 ราย, บุรีรัมย์ และยะลา จังหวัดละ 9 ราย ซึ่งผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ในประชากรไทยยังคงพบมากในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

สำหรับ ในปี 2554 – 2558 จำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ในประชากรต่างด้าวที่ตรวจพบในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คือ 28, 22, 22, 47 และ 39 ราย โดยพบผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่สัญชาติเมียนมา มากที่สุดคือ 149 ราย, กัมพูชา 3 ราย, ลาว 3 ราย, จีน อินเดีย, และอินโดนีเซีย สัญชาติละ 1 ราย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ปี 2556 ที่รายงานการค้นพบผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ในประเทศที่มีพรมแดนติดต่อประเทศไทยมากที่สุด คือ เมียนมา 2,950 ราย, กัมพูชา 373 ราย, มาเลเซีย 306 ราย, ลาว 84 ราย และไทย 188 ราย และปี 2558 ที่ผ่านมาประเทศไทยค้นพบจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อนในประชากรต่างด้าวในพื้นที่ภาคเหนือมากที่สุด 27 ราย (ร้อยละ 69.2 ได้แก่ เชียงใหม่ 17 ราย, ตาก 5 ราย และแม่ฮ่องสอน 5 ราย) ภาคกลาง 8 ราย (ร้อยละ 20.5 ได้แก่ สมุทรปราการ 3 ราย, กรุงเทพฯ 2 ราย, กาญจนบุรี, นครปฐม และสมุทรสาคร จังหวัดละ 1 ราย) ภาคใต้ 4 ราย (ร้อยละ 10.3 สงขลา 4 ราย)

นพ.กฤษฎา กล่าวต่อว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทำให้มีประชากรต่างด้าวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้อาจมีผู้ป่วยโรคเรื้อนเดินทางเข้ามาด้วย จึงอาจทำให้โรคเรื้อนกลับมาเป็นปัญหาสาธารณสุขในประเทศไทยได้อีก เพราะมีปัจจัยเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังนี้

ด้านบุคคล (Host) :- ประชากรไทยมีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดประชากรต่างด้าวที่เป็นโรคเรื้อน

ด้านเชื้อโรค (Agent):- การเพิ่มขึ้นของประชากรต่างด้าวเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะมีแหล่งรังโรคเรื้อน

ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment):- ที่พักอาศัยของประชากรต่างด้าวที่เป็นชุมชนแออัดทำให้มีโอกาสเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคเรื้อน

ประกอบกับแรงงานต่างด้าวบางส่วนหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ทำให้เข้าไม่ถึงระบบบริการสาธารณสุข จึงไม่ได้รับการตรวจสุขภาพ เพื่อการตรวจคัดกรองโรคเรื้อน เมื่อป่วยเป็นโรคเรื้อนทำให้ไม่ได้รับการดูแลรักษา และสถานการณ์โรคเรื้อนในประเทศไทยที่มีจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อนที่ลดน้อยลงทำให้แพทย์และพยาบาลบางส่วนขาดทักษะในการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคเรื้อน ซึ่งในการตรวจจะต้องใช้อาการทางคลินิกเป็นหลักสำคัญ โดยในปัจจุบันยังไม่มีเครื่องมือทางห้องปฏิบัติการที่ง่าย สะดวก และมีความแม่นยำในการตรวจวินิจฉัยโรคเรื้อน ดังนั้นหากประชากรต่างด้าวที่เป็นโรคเรื้อนเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทย และไม่ได้รับการตรวจรักษาอย่างถูกต้อง จึงมีโอกาสที่จะแพร่เชื้อโรคเรื้อนมาสู่คนไทย

"ขอแนะนำให้ประชาชนทุกคนหมั่นดูแลผิวหนัง ถ้าเป็นโรคผิวหนังที่ไม่คันและรักษาไม่หายภายในเวลา 3 เดือน หรือผิวหนังเป็นวงด่างสีขาวหรือแดง มีอาการชา หรือเป็นผื่นนูนแดง ผื่นวงแหวน ตุ่มแดง ไม่คัน ให้รีบไปพบแพทย์ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านเพื่อรับการตรวจรักษา สำหรับผู้ที่ทำงานหรืออยู่ร่วมกับคนที่เป็นโรคเรื้อน ให้แนะนำหรือพาผู้ป่วยโรคเรื้อน หรือผู้มีอาการสงสัยโรคเรื้อนไปรับการตรวจรักษา ซึ่งโรคเรื้อนสามารถรักษาให้หายได้ ภายใน 6 เดือนถึง 2 ปี และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาภายในสัปดาห์แรกก็จะไม่แพร่โรค ดังนั้นจึงสามารถทำงานและดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมและชุมชนได้ตามปกติ" นพ.กฤษฎา กล่าวปิดท้าย

พญ.รัตติยา เตชะขจรเกียรติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และระบาดวิทยา โรงพยาบาลบางรัก กล่าวว่า สถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั่วโลก อ้างอิงจากองค์การอนามัยโลก(World Health Organization ;WHO) พบว่ามีผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์รายใหม่ ปีละ 357 ล้านคน เป็นผู้ป่วยหนองในเทียมจากเชื้อ Chlamydia trachomatis 131 ล้านคน หนองใน 78 ล้านคน ซิฟิลิส 5.6 ล้านคน และพยาธิช่องคลอด 143 ล้านคน โดยสถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในประเทศไทย ตามข้อมูลระบาดวิทยาและข้อมูลพื้นฐานของหน่วยงานที่ให้บริการคัดกรองและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ได้เก็บข้อมูลของโรงพยาบาลรัฐและสำนักงานป้องกันและควบคุมโรค กลุ่มโรคทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในช่วงปี พ.ศ. 2553-2558 พบว่า อัตราการติดเชื้อนั้นเพิ่มสูงขึ้นจาก 20.43 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน เป็น 23.23 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน ทั้งนี้สามารถจำแนกตามโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 5 โรคหลัก คือ โรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคซิฟิลิส โรคแผลริมอ่อน โรคกามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง นอกจากนี้ยังมีโรคอื่น ๆ ที่ไม่จัดในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลัก เช่น พยาธิช่องคลอด ช่องคลอดอักเสบจากแบคทีเรีย เริม หูดหงอนไก่ เป็นต้น เมื่อพิจารณาเฉพาะผู้ป่วยต่างชาติพบว่าอัตราการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ย้อนหลังช่วงปี พ.ศ. 2554-2557 มีแนวโน้มสูงขึ้น และพบในสัญชาติเมียนมา กัมพูชาและลาวตามลำดับ โดยโรคที่พบบ่อย 3 อันดับแรก คือ โรคซิฟิลิส โรคหนองใน โรคหนองในเทียม

สำหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจากการคาดประมาณปีพ.ศ. 2558 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวนสะสม 1,526,028 คน ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 6,759 คน จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น อัตราการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยรวม ยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น โดยสถานการณ์ของโรคแผลริมอ่อนและโรคกามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง น่าจะมีแนวโน้มลดลงและอาจจะหายไปได้ โดยกลุ่มประชากรที่พบมากที่สุด อยู่ในช่วงอายุ 15-24 ปี และ 25-34 ปี ตามลำดับ จะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการมีเพศสัมพันธ์อย่างไม่ปลอดภัย และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า

สำหรับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในเพศชายมักมีอาการปัสสาวะขัดหรือมีหนองหรือมูกใสไหลออกจากท่อปัสสาวะ เจ็บปวดอวัยวะเพศ มีผื่น ตุ่มแผล ฝี บริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบบวมหรือเป็นฝี ส่วนในเพศหญิงอาจมีตกขาวสีผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น คันบริเวณอวัยวะเพศ เจ็บหรือปวดท้องน้อย มีผื่น ตุ่มแผล ฝี บริเวณอวัยวะเพศเช่นเดียวกันเพศชาย สำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักอาจมีอาการคันรอบรูทวาร ปวดเบ่งบริเวณทวารหนักหรือมีหนองไหลออกจากทวารได้ นอกจากนี้ อาจพบผื่นตามตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า แผลในปาก ผมร่วงได้ในผู้ป่วยซิฟิลิส ดังนั้นจึงแนะนำให้ไปตรวจและรักษาที่สถานบริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน เมื่อมีอาการดังกล่าว

จากสถานการณ์ดังกล่าว ทางกรมควบคุมโรคจึงมีนโยบายการพัฒนาและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อทางยุทธศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ. 2559 -2564 ซึ่งมีเป้าหมายป้องกันโรคเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และท้องไม่พร้อม โดยดำเนินการแจกถุงยางและให้ความรู้เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ที่จุดบริการสถานพยาบาลและสำนักงานป้องกันควบคุมโรค

ด้าน ผศ.ดร.พญ.จิตติมา ฐิตวัฒน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวปิดท้ายเกี่ยวกับ โรคอื่น ๆ ที่จะมาเยือนว่า โรคลิชมาเนียเป็นอีกโรคหนึ่ง ที่เป็นโรคติดต่อเรื้อรังของคนและสัตว์ เกิดจากเชื้อโปรโตซัว โดยมีริ้นฝอยทราย(sandfly) เป็นพาหะนำโรค ริ้นฝอยทรายเพศเมียกัดกินเลือดสัตว์ที่มีเชื้อแล้วปล่อยเชื้อเข้าสู่คน มีแหล่งแพร่โรคมากกว่า 88 ประเทศ โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา เอเซีย และอเมริกาใต้ การแสดงอาการของโรคจะใช้เวลาเป็นเดือน แบ่งได้ 3 แบบ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของเชื้อลิชมาเนียและภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย ประกอบด้วย 1. โรคที่มีอาการเฉพาะผิวหนัง (Cutaneous Leishmaniasis) พบตุ่มเล็กๆ บริเวณผิวหนังที่ถูกแมลงกัด แล้วแตกออกเป็นแผล 2. โรคที่มีอาการที่อวัยวะภายใน (Visceral Leishmaniasis) ผู้ป่วยจะมีอาการไข้เรื้อรัง น้ำหนักลด ซีด ม้ามและตับโต และ 3.โรคที่เกิดขึ้นกับเยื่อเมือก (Mucocutaneous Leishmaniasis) ลักษณะคล้ายกับที่เกิดขึ้นที่ผิวหนัง แต่แผลจะแพร่ไปในเยื่อเมือก เช่น จมูก ปาก เป็นต้น

สรุปสถิติโรคลิชมาเนียในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2503-2558 กรมควบคุมโรคได้รับรายงานผู้ป่วยทั้งสิ้น 66 ราย โดยปี 2503-2535 มักพบในคนไทยที่มีประวัติการเดินทางไปในแหล่งระบาดของโรคโดยเฉพาะประเทศทางตะวันออกกลาง โดยลักษณะไปท่องเที่ยว ทำงาน หรือ ติดต่อทางธุรกิจ แล้วติดเชื้อกลับมา ส่วนปี 2539 จนถึงปัจจุบัน โรคลิชมาเนียพบในผู้ป่วยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศมาก่อน โดยพบในแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทย สามารถเกิดกับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันปกติหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องก็ได้ พบทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ เป็นไปได้ว่าริ้นฝอยทรายในประเทศเป็นพาหะนำโรคได้เช่นกัน

"การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะมีชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยได้ง่ายขึ้น ทั้งเพื่อการท่องเที่ยวและการเคลื่อนย้ายมาทำงาน อาจมีผู้ป่วยโรคลิชมาเนียปะปนมาด้วย แต่ไม่น่าจะเกิดการระบาดของโรค เนื่องจากโรคนี้ต้องอาศัยพาหะนำโรคที่จำเพาะกับสายพันธุ์ของเชื้อ ประชาชนควรรู้จักโรค การควบคุมและป้องกัน จะได้ไม่ต้องกังวลเมื่อเจอผู้ป่วย การป้องกันและควบคุมโรคลิชมาเนีย ควรสวมเสื้อผ้ามิดชิด ใช้ยาทากันยุงบนผิวหนังที่อยู่นอกร่มผ้า นอนกางมุ้งกำจัดแหล่งโรค ค้นหาผู้ป่วย รักษาอย่างรวดเร็ว ตรวจร่างกายแรงงานต่างชาติอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมกักกันโรคในสัตว์ ทำความสะอาดบ้านเรือนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ให้มีสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระแต ซึ่งเป็นรังโรคเชื้อสามารถกำจัดพาหะริ้นฝอยทรายได้โดยใช้ยาพ่นกำจัดแมลง"

ผศ.ดร.พญ.จิตติมา กล่าวต่อว่า อีกโรคหนึ่ง คือ โรคเท้าช้าง เกิดจากพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย ติดต่อจากคนไปสู่คน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค ยุงที่มีพยาธิตัวอ่อนกัดคน ตัวอ่อนไชผ่านแผลบนผิวหนังไปยังท่อน้ำเหลือง แล้วเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน มีอายุ 6-8 ปี ตัวแก่ผสมพันธุ์ปล่อยพยาธิตัวอ่อน (ไมโครฟิลาเรีย) ในกระแสเลือด ไมโครฟิลาเรีย มีอายุ 6-12 เดือน ยุงดูดเลือดคนเป็นโรคแล้วไปแพร่เชื้อให้คนอื่นต่อไป คนที่ติดเชื้อโรคเท้าช้างมีอาการแสดงได้ 3 แบบ ได้แก่ 1.ไม่แสดงอาการแต่ตรวจพบไมโครฟิลาเรียในเลือด พบในผู้ติดโรคส่วนใหญ่ 2. คนที่มีอาการ ในระยะแรก มักมีไข้ เจ็บ บวมตามแนวของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขา ขาหนีบ หรืออัณฑะ เนื่องจากพยาธิตัวเต็มวัยที่อยู่ในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อภายใน อาการอักเสบนี้จะเป็น ๆ หาย ๆ และ3.หากการอักเสบเรื้อรังเป็นนานหลายปีท่อน้ำเหลืองจะอุดตันทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวร(Elephantiasis) เพื่อป้องกันความพิการถาวรจึงควรวินิจฉัยและรักษาโรคเท้าช้างในระยะเริ่มแรกให้หายขาด

องค์การอนามัยโรค (WHO) ตั้งเป้าหมายว่าจะกำจัดโรคเท้าช้างให้หมดไปในปี 2563 (ค.ศ. 2020) โดย โรคเท้าช้างในประเทศไทย เกิดจากเชื้อ 2 สายพันธุ์ ได้แก่ เชื้อ Brugia malayi มียุงลายเสือเป็นพาหะ พบบริเวณที่ราบทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาส เชื้อ Wuchereria bancrofti พบมากในบริเวณชายแดนไทยพม่า มียุงลายป่า ยุงรำคาญ เป็นพาหะ จากรายงานสถานการณ์โรคเท้าช้างล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2558 ที่ผ่านมาของสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าปัจจุบันประเทศไทยมีความชุกของโรคเท้าช้าง 0.36 ต่อประชากรแสนคน พบผู้ป่วยใหม่คนไทยเป็นโรคเท้าช้างเฉพาะจังหวัดนราธิวาส เป็นผู้ป่วยที่ตรวจพบไมโครฟิลาเรีย 47 ราย (ความชุก 0.07 ต่อประชากรแสนคน) ส่วนผู้ที่มีอวัยวะบวมโตทั้งหมดเป็นผู้ป่วยเก่า สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลงมีการเฝ้าระวังโรคเท้าช้างในกลุ่มแรงงานชาวเมียนมาร์ โดยตรวจเลือดหาพยาธิโรคเท้าช้างให้กับแรงงานทุกคนที่ขึ้นทะเบียนในการตรวจสุขภาพประจำปีและให้ยารักษาผู้ที่พบพยาธิโรคเท้าช้าง จ่ายยารักษาโรคเท้าช้างให้กับแรงงานชาวเมียนมาทุกคน ทุก 6 เดือน เพื่อควบคุมโรค เฝ้าระวังเจาะเลือดคนไทยที่อยู่รวมกับแรงงานชาวเมียนมาใกล้แหล่งที่มียุงพาหะ รณรงค์กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในชุมชน

การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทำให้คนต่างด้าวเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เข้ามาอาศัยอยู่นานเพื่อทำงานในประเทศไทย กลุ่มที่ลักลอบเข้าเมืองจะไม่ได้รับการตรวจเลือดและกินยารักษาโรคเท้าช้าง ดังนั้นคนไทยที่อาศัยอยู่รวมกับแรงงานเหล่านี้หรือนายจ้าง ควรดูแลให้แรงงานและครอบครัวของเขาได้รับยารักษาโรคเท้าช้างอย่างสม่ำเสมอ ลดโอกาสที่โรคเท้าช้างจะกลับมาแพร่ระบาดเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO