อย่างไรก็ตามในช่วงสงกรานต์นี้ สพฉ. ได้ประสานไปยังศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการทั่วประเทศให้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ สายด่วน 1669 ให้พร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว และในปีนี้ได้เพิ่มการแจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านแอพลิเคชั่น "EMS1669" เพิ่มเติมด้วย ซึ่งจะทำให้การแจ้งเหตุแม่นยำ และไปช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สพฉ.ยังประสานหน่วยปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินในเตรียมพร้อมบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉินให้เพียงพอต่อการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยจะมีผู้ปฏิบัติการทางการแพทย์ฉุกเฉินปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะในจังหวัดใหญ่ๆ และจังหวัดที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูง โดยเฉพาะในวันที่ 12 เม.ย. ที่คาดว่าประชาชนจะเดินทางมากขึ้น
"สิ่งสำคัญที่สุดของการลดอัตราการเจ็บป่วยฉุกเฉินจากอุบัติเหตุ คือผู้ขับขี่ต้องดูแลตัวเองด้วย คือ ดื่มไม่ขับ-ง่วงไม่ขับ โทรไม่ขับ ไม่ขับรถเร็ว คาดเข็มขัดนิรภัย-สวมหมวกนิรภัย และปฏิบัติตามกฎจราจรทุกครั้ง นอกจากนี้สิ่งสำคัญ คือหากเห็นรถพยาบาลเปิดเสียงไซเรนและไฟฉุกเฉินควรหลีกทางให้ด้วย เพราะทุกวินาทีมีความสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน"
นพ.อนุชา ยังกล่าวต่อถึงนโยบาย เจ็บป่วยฉุกเฉินรักษาทุกที่ ดีทุกสิทธิว่า ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติสามารรถเข้ารับการรักษาได้ในทุกโรงพยาบาลฟรี ในช่วง 72 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นให้ส่งต่อผู้ป่วยไปรักษายังโรงพยาบาลตามสิทธิ โดยผู้ป่วยที่เข้าข่ายอาการฉุกเฉินวิกฤต จะอยู่ใน 25 กลุ่มอาการ อาทิ มีระดับการรู้สติเปลี่ยนแปลงไป ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้น ระบบหายใจวิกฤต ระบบเลือดไหลเวียนวิกฤต หรือหากไม่แน่ใจว่าเข้าข่ายอาการวิกฤติหรือไม่ หากคิดว่าเจ็บป่วยฉุกเฉินสามารถโทรแจ้งสายด่วน 1669 ได้
อย่างไรก็ตามในช่วงเทศกาลนี้ ขอเป็นกำลังใจ และขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉินทุกคนที่ทุ่มเท และเสียสละเวลาในช่วงวันหยุดยาว เพื่อให้การดูแลประชาชนอย่างเต็มกำลัง