นายพีระพล วิไลวงศ์เสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีจนถึงการผลิตในระดับอุตสาหกรรม โดยผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น กลุ่ม Microelectronics Module Assembly (MMA) และกลุ่ม Integrated Circuit (IC) Packaging & Testing เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาสแรกของปีนี้คาดว่ามีกำไรได้ต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและคาดว่าน่าจะมีกำไรสูงกว่าไตรมาส 4/58 ซึ่งมีกำไรอยู่ที่ 43 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ เน้นผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ และการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ให้มาร์จิ้นสูง พร้อมทั้งมีลูกค้าใหม่เข้ามาทดแทนสินค้ากลุ่มแผงวงจร ซึ่งยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง ?นอกจากนี้บริษัทฯยังมีลูกค้าใหม่ที่อยู่ระหว่างการติดตั้งสายการผลิตจำนวน 10 ราย ซึ่งจะทยอยมีขึ้นในปี 2559 นี้ โดยอยู่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น Advance Consumer Product, Optical Components, Medical Products, Automotive เป็นต้น และคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะเพิ่มเป็น 6-9% จากปีก่อนที่ 1.93% จากงาน New product มาสนับสนุน
"บริษัทฯ เริ่มมีกำไรสุทธิในไตรมาส 4/58 และคาดว่าไตรมาสแรกปีนี้จะมีกำไรต่อเนื่อง หลังรุกเข้าสู่สินค้านวัตกรรม (Innovative Product) ด้านชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ โดยผลิตภัณฑ์ใหม่นี้มีมาร์จิ้นอยู่ที่ 10-20% และในปีนี้มีกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญไม่น้อยกว่า 10 ราย ปัจจุบันบริษัทฯได้ผลิตสินค้าให้ลูกค้าใหม่แล้ว 3 ราย ซึ่งได้ส่งมอบของไปแล้ว โดยบริษัทรับรู้รายได้เข้ามาทันที ทิศทางหลังจากนี้เราอยากทำผลิตภัณฑ์มีมูลค่าสูง กำไรดี ลงทุนเครื่องจักรไม่มาก สินค้ามีความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดทั่วไป ไม่ต้องแข่งขันกันมากในเรื่องของราคา" นายพีระพลกล่าว
สำหรับในปีนี้บริษัทฯได้ใช้กลยุทธ์หมุนกำลังการผลิตออกจากสินค้าประเภทมาร์จิ้นต่ำ อย่าง MMA มาผลิตสินค้าประเภท high value added เช่น IC Packaging, Wafer dicing, Captive และ Specialty ซึ่งในปีที่ผ่านมายอดการผลิตสินค้ากลุ่มดังกล่าวนี้เพิ่มขึ้นมาราว 120 % ทำให้มีสัดส่วนประมาณ 21% ของรายได้ เทียบกับปี 2557 ที่มีสัดส่วนเพียง 8% ของรายได้ ในขณะที่สินค้ามาร์จิ้นต่ำอย่าง MMA ซึ่งเดิมเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ มีสัดส่วนลดลงจาก 92% ในปี 2557 และลดลงเหลือ 79% ในปี 2558 และคาดว่าในปี 2559 จะลดลงเหลือ 61% โดยกลยุทธ์ดังกล่าวนี้ส่งผลดีกับบริษัทฯ อีกทางหนึ่งคือ การประหยัดเงินลงทุนในสายการผลิตสินค้ามาร์จิ้นสูง ส่งผลให้ต้นทุนค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นน้อยมาก และสามารถหมุนพนักงานเดิมออกมาทำงานที่สร้างผลกำไรที่ดีให้กับบริษัทฯ โดยปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยจะเป็นยอดขายของสินค้าใหม่ประมาณ 1,628 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะป็นผลิตภัณฑ์เดิม ประกอบด้วย IC Packaging (แผงวงจร) และ MMA
ส่วนงบลงทุนปีนี้บริษัทฯ ตั้งไว้ที่ 200 ล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อและติดตั้งเครื่องจักรใหม่สำหรับงาน New product จำนวน 100 ล้านบาท และการซื้อและปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรสำหรับงานเดิมอีก 100 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทและเงินกู้จากสถาบันการเงิน