นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA ผู้ประกอบธุรกิจผลิต จำหน่ายและติดตั้งผลิตภัณฑ์กระจายและส่งจ่ายไฟฟ้า สวิตช์บอร์ดไฟฟ้า รางและบันไดพาดสายไฟฟ้า โคมไฟและระบบส่องสว่าง งานบริการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง และงานบริการหลังการขายครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวดไตรมาส 1/2559 มีกำไรสุทธิจำนวน 63.42 ล้าน เพิ่มขึ้น 33.90 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 114.83% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 29.52 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นจำนวน 159.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.50 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 25.53% เพิ่มขึ้น 4.63% เนื่องจากบริษัทฯมีการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตได้ดี ขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 622.82ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108.35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21.06% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายจากการขายและบริการอยู่ที่ 514.46 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเป็นผู้ผลิตเองและ สวิตซ์บอร์ดไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 135.89 ล้านบาท หรือคิดเป็น 43.92% รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมาเพื่อจำหน่ายต่อเพิ่มขึ้น 27.65 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.25% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้น
"เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้การเติบโตเป็นไปตามฤดูกาล แต่งานและ Backlog ของบริษัทฯ ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี โดยปัจจุบันมีงานที่รอรับรู้รายได้อยู่ในมือประมาณ 1,700 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2559-2560 และอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยหนุนงานในมือเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเพิ่มรายได้จากการเปิดสาขาในต่างจังหวัด และกำลังการผลิตเพิ่มจากการขยายและรวมโรงงานมาไว้ที่เดียวกันกับโรงงานแห่ง ใหม่ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำลังการผลิตได้มากขึ้น" นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯในช่วงไตรมาส 2/2559 คาดว่ายังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ในช่วงครึ่งปีหลังโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 จะเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าผลการดำเนินงานปี 2559 ยังเติบโตต่อเนื่องตามเป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้เติบโต 15-20% จากปีที่ผ่านมา จากการเพิ่มขึ้นของงานในกลุ่มธุรกิจเดิมเป็นหลัก รวมถึงการรับรู้รายได้จากส่วนที่เหลือของโครงการรื้อถอนโรงไฟฟ้า และคาดว่ามาร์จิ้นจะดีขึ้นเนื่องจากแนวโน้มของราคา เหล็ก ปรับตัวเพิ่มขึ้น
"ทิศทางของอุตสาหกรรมที่มีความต้องการไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมสื่อสารศูนย์ข้อมูล Data Center ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตและเรามีผลงานมากมาย กลุ่มธุรกิจลงทุนโครงการพื้นฐานของประเทศ เช่น โครงการรถไฟฟ้าในกทม.และปริมณฑลและคาดว่าจะมีการขยายไปยังต่างจังหวัดอีก ปัจจุบันบริษัทฯ ได้มีการรับงานรถไฟฟ้าสายสีแดงบางส่วนเพิ่ม ต่อจากสายสีม่วง สีน้ำเงินและสายสีเขียว แผนการพัฒนาและนำสายไฟลงใต้ดินในกทม.และจังหวัดใหญ่ กลุ่มโรงไฟฟ้าทั้งของรัฐบาล และเอกชน รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัทฯ ยังมีการรับงานและมีการประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง กลุ่มพัฒนาระบบสาธารณสุขทั้งภาครัฐ และเอกชน ที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนการลงทุนและพัฒนาธุรกิจและพันธมิตรใหม่ที่เกี่ยว ข้องกับธุรกิจที่บริษัทฯมีความพร้อมและเชี่ยวชาญ เพิ่ม ขึ้น ซึ่งจะสร้างโอกาสเติบโตให้แก่บริษัทฯในอนาคต และสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่ง" นายไพบูลย์ กล่าว