"ขณะนี้การลงนามสัญญางานเพิ่มเติม หรือ Variation Order ได้ข้อสรุปหมดแล้ว เหลือเพียงงานด้านเอกสารเล็กน้อย คาดว่าจะลงนามได้ในไตรมาสที่ 2 นี้ ซึ่งจะทำให้ CK มีรายได้ก่อสร้างเพิ่ม อีกกว่า 19,000 ล้านบาท โดย CK ได้เร่งดำเนินการก่อสร้างงานเพิ่มเติมไปก่อนแล้ว เพื่อให้โครงการนี้แล้วเสร็จ และสามารถจ่ายไฟได้ตามกำหนด (Commercial Operation Date - COD) ในปี 2562 อย่างแน่นอน
CK ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ XPCL พร้อมกลุ่มผู้ถือหุ้นหลักอื่นๆ พร้อมให้การสนับสนุนทางการเงิน (Sponsor Loan) แก่ XPCL อย่างเต็มที่ เพื่อลงทุนและก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผน โดยมั่นใจว่าโครงการไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าสะอาดและต้นทุนต่ำสำหรับไทยและลาว ที่ดูแลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างดี สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงและสม่ำเสมอให้แก่ XPCL และผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
สำหรับผลการดำเนินงาน งวดสามเดือนสิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 2559 เป็นไปตามที่คาดหมายไว้ โดยบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน 305 ล้านบาท รายได้ก่อสร้าง 8,982 ล้านบาท บริษัทมี Backlog กว่า 77,000 ล้านบาท โดยงานในมือที่มีในปัจจุบันมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 8.71% โครงการก่อสร้างทุกๆโครงการคืบหน้าเป็นไปตามแผน โดยโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญา4 และโครงการทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร จะสามารถเปิดให้ประชาชนใช้บริการได้ ในเดือนสิงหาคมปีนี้อย่างแน่นอน และในปี 2559 CK ก็พร้อมที่เข้าร่วมประกวดราคาโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่คาดว่าจะเริ่มเปิดประมูลหลายโครงการ เช่น โครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส2 ที่ได้เปิดขายซองไปแล้ว กำหนดประกวดราคาในเดือนมิถุนายน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี มูลค่า 79,818 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเริ่มเปิดขายซองได้ในเดือน มิถุนายน 2559 โครงการมอเตอร์เวย์และรถไฟรางคู่อีกหลายสาย โดยคาดว่าจะได้ส่วนแบ่งงานก่อสร้างกว่า 20-25% ของงานทั้งหมดที่จะออกมา มั่นใจว่า CK มีประสบการณ์และศักยภาพพร้อมทุกด้าน