นายพีระพล วิไลวงศ์เสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯในไตรมาส 1/59 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 ว่า ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/2559 บริษัทฯพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 38.02 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 5.20 ล้านบาท เนื่องจากในงบการเงินรวมไตรมาส 1/59 บริษัทฯมีรายรับจากการขายสินค้าและบริการจำนวน 1,225.64 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 1,258.12 ล้านบาท หรือลดลง 50.90% โดยในช่วงไตรมาส 1/58 มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการจำนวน 2,484.39 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้ที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นการลดลงของสินค้าในกลุ่ม Hard Disk Drive เนื่องจากการหดตัวของตลาด และการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทฯมีรายได้จากสินค้าและบริการในธุรกิจการประกอบและทดสอบแผงไฟฟ้ารวม เพิ่มมากขึ้น เป็น 298 ล้านบาท จาก 213 ล้านบาท ในไตรมาส 1/58 คิดเป็นรายได้เพิ่มขึ้น 85 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39.91% ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าสินค้าในกลุ่ม Hard Disk Drive ทำให้บริษัทมีกำไรขั้นสูงขึ้น เมื่อรวมกับมาตรการลดต้นทุนของบริษัทที่มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไตรมาส 1/59 บริษัทฯมีกำไรขั้นต้น 76.73 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 5.38 ล้านบาท
"รายได้และกำไรที่ออกมาสวย เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/58 แล้ว ถือว่าผลการดำเนินงานของบริษัทสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ สำหรับยอดขายของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าอยู่ที่กว่า 8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 7.6 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ 60 ล้านบาท ได้ภายในไตรมาส 2/59 โดยจะนำกำไรจากการดำเนินงานมาใช้ล้างขาดทุนสะสม และเชื่อว่าในปี 2559 จะกลับมาจ่ายปันผลได้อีกครั้ง
"ปีนี้เรามั่นใจจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ จากปีก่อนที่ขาดทุนประมาณ 60 ล้านบาท เพราะปีนี้เรามีตัว New Product ที่เข้ามาเสริม ทำให้มาร์จิ้นสูง ส่งผลต่อเนื่องมายังกำไรสุทธิ SMT เริ่มเห็นตั้งแต่ไตรมาสแรกว่ากำไรดีขึ้น จากงาน New Product จึงมั่นใจว่าสามารถนำกำไรมาล้างขาดทุนสะสมได้"นายพีระพลกล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส2/2559 คาดว่ายังคงเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2559 โดยปัจจัยหลักมาจากการที่บริษัทฯได้ใช้กลยุทธ์หมุนกำลังการผลิตออกจากสินค้าประเภทมาร์จิ้นต่ำ อย่าง MMA มาผลิตสินค้าประเภท high value added เช่น IC Packaging, Wafer dicing, Captive และ Specialty ซึ่งในปีที่ผ่านมายอดการผลิตสินค้ากลุ่มดังกล่าวนี้เพิ่มขึ้นมาราว 120 % ทำให้มีสัดส่วนประมาณ 21% ของรายได้ เทียบกับปี 2557 ที่มีสัดส่วนเพียง 8% ของรายได้ ในขณะที่สินค้ามาร์จิ้นต่ำอย่าง MMA ซึ่งเดิมเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ มีสัดส่วนลดลงจาก 92% ในปี 2557 และลดลงเหลือ 79% ในปี 2558 และคาดว่าในปี 2559 จะลดลงเหลือ 61%
"กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ส่งผลดีกับบริษัทฯ คือ การประหยัดเงินลงทุนในสายการผลิตสินค้ามาร์จิ้นสูง ส่งผลให้ต้นทุนค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นน้อยมาก และสามารถหมุนพนักงานเดิมออกมาทำงานที่สร้างผลกำไรที่ดีให้กับบริษัทฯ โดยปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยจะเป็นยอดขายของสินค้าใหม่ประมาณ 1,628 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะป็นผลิตภัณฑ์เดิม ประกอบด้วย IC Packaging (แผงวงจร) และ MMA" นายพีระพล กล่าว