ดร.ณรงค์ชัย ศรีสันติแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร สายงานปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจอาหาร เครือเบทาโกร เปิดเผยเปิดเผยในงาน THAIFEX 2016 งานแสดงสินค้าอาหารครั้งใหญ่ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-29 พ.ค.59 ณ อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานีว่าว่า ในไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2559 เครือเบทาโกร มีรายได้รวม 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม 8,000 ล้านบาท และรายได้ในธุรกิจอาหาร17,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีเป้ายอดขายรวมในปี 2559 อยู่ที่ 100,000 ล้านบาท
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจอาหารของเบทาโกรในปี 2559 นี้ มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจในสุขภาพ และตอบสนองคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย แต่ยังให้ความใส่ใจเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร รวมทั้งรสชาติความอร่อย พร้อมทั้งการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์คุณภาพได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยในปีนี้ แบรนด์ BETAGRO จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มสินค้าไส้กรอกไขมันต่ำ (BETAGRO Low Fat Sausage) ให้มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ในกลุ่ม Reduce, Plus, Free เตรียมจำหน่ายอีกมากกว่า 10รายการ และพัฒนาสินค้าพร้อมปรุง พร้อมรับประทาน (Ready to Cook / Ready to Eat) อีกมากกว่า 100รายการ ด้านการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่าย มุ่งขยายแผงอนามัยเนื้อหมู เนื้อไก่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และเพิ่มการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทางทั้งในกลุ่ม Modern Trade กลุ่ม Food Service (HORECA) และTraditional Trade
ด้าน แบรนด์ S-Pure มีการขยายช่องทางนำร่องอาหารสุขภาพสู่โรงพยาบาล โดยเริ่มแห่งแรกที่ ศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลรพ.สมิติเวช สุขุมวิท เริ่มขยายการขายสินค้า S-Pure ไปยังภูมิภาค ทั้งในกลุ่ม Food Service เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ในเมืองใหญ่ๆ อาทิ สมุย หาดใหญ่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ปากช่อง เป็นต้น รวมถึงการขายในร้านเบทาโกร ช็อป ทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
ด้านตลาดส่งออก เพิ่มสัดส่วนการขายสินค้า Own Brand ทั้ง S-Pure และ BETAGRO ให้มากขึ้นในช่องทางขายส่งและค้าปลีก และนำทั้งสองแบรนด์เข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่สำคัญในประเทศต่างๆ
ดร.ณรงค์ชัย กล่าวสรุปว่า เพื่อให้แผนการดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุ ตามเป้าหมายขององค์กรที่ตั้งไว้ เครือเบทาโกรได้มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาครั้งสำคัญ โดยปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม (Agro Business) และกลุ่มธุรกิจอาหาร (Food Business) 2 กลุ่มใหญ่ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น และได้ลงทุนในระบบ ERP(Enterprise Resource Planning) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานและเชื่อมโยงระบบงานต่างๆ ขององค์กรเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเบทาโกร นอกจากนี้ ยังก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหาร (Food Innovation center) เพื่อเป็นศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งในส่วนของตัวสินค้าใหม่และบรรจุภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ ให้ตรงกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้การให้ข้อมูลเชิงเทคนิค ตลอดจนการแก้ไขปัญหา ให้กับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหารอีกด้วย