นายกิตติ พัวถาวรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (NCL) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 4/2559 มีมติอนุมัติให้โอนทรัพย์สินหัวลาก จำนวน 65 หัว และหางพ่วง จำนวน 98 หาง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 120.94 ล้านบาท เพื่อการลงทุนในหุ้นของบริษัทเอสเอสเค อินเตอร์ โลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าโดยหัวลากและหางพ่วง และรถประเภทอื่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุน และค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทางด้านต้นทุนที่ดีขึ้น และส่งเสริมให้บริษัทฯ มีผลตอบแทนเติบโต มีกำไรที่มั่นคง และต่อเนื่องในอนาคต
"คณะกรรมการบริษัทฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า การเข้าทำรายการในครั้งนี้มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อบริษัทฯ ในอนาคต รวมถึงผู้ถือหุ้นในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในระยะยาว เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการร่วมทุนกับบุคคลภายนอก ในการจัดตั้งบริษัท เอสเอสเค อินเตอร์ โลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งไม่เป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงกัน โดยมีศักยภาพสูงและมีเชี่ยวชาญในธุรกิจขนส่งเป็นอย่างดี มีประสบการณ์ยาวนาน สามารถขยายฐานลูกค้ารายใหญ่ๆ ให้แก่บริษัทได้เป็นอย่างดี โดยที่บริษัทฯ จะถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 40 - 50 ในบริษัท เอสเอสเค อินเตอร์ โลจิสติกส์ จำกัด ดังนั้น บริษัทฯ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพย์สินหัวลาก และหางพ่วงดังกล่าวอีก เนื่องจากบริษัทฯ จะไม่ดำเนินธุรกิจขนส่งในประเทศด้วยรถบรรทุกหัวลาก และหางพ่วงอีกต่อไป ภายหลังจากการโอนทรัพย์สินดังกล่าว"นายกิตติกล่าวในที่สุด
เขากล่าวถึงทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานน่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างจะชะลอตัวก็ตาม โดยกลยุทธ์ในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ จะเน้นขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ ไปพร้อมๆ กับ รักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ เพื่อผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตมากยิ่งขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเริ่มรับรู้รายได้และกำไรจากบริษัทย่อย คือ บริษัท รีเจนท์ ชิปปิ้ง ไทยแลนด์ และบริษัทร่วม คือ บริษัท เอสเอสเค อินเตอร์ โลจิสติกส์ (SSK) ตั้งแต่ไตรมาส 2/2559 ส่งผลให้ NCLเป็นบริษัท โลจิสติกส์ครบวงจรที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ สามารถรองรับกับความต้องการของลูกค้าได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
"ปี 2559 บริษัทฯ ตั้งเป้า จากฐานลูกค้าเก่าและลูกค้ารายใหม่ๆ ที่มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปีต่อจากนี้ ยอดขายจะโตแตะ 1 หมื่นล้านบาท จากการขยายฐานลูกค้าไปในต่างประเทศ ซึ่งเฉพาะสาขาย่อยที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา พบว่าฐานลูกค้าเติบโตสูงถึง 100% และคาดว่าน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ดังนั้นจึงทำให้เชื่อมั่นว่า ปีนี้รายได้จะเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ "นายกิตติกล่าวในที่สุด