นายมณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพบรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยตลาดได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขเศรษฐกิจตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ค. 59 ได้ส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นและภาคการท่องเที่ยว การใช้จ่ายภาครัฐที่ยังขับเคลื่อนได้ดีตามแผนของทางภาครัฐ อีกทั้ง ปัญหาด้านภัยแล้งได้เริ่มคลี่คลายลง ซึ่งเป็นส่วนเสริมความมั่นใจเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย กอปรกับ เริ่มมีกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงไทย ทั้งนี้ มองว่า ผลจากการที่ธนาคารกลางต่างๆ ของประเทศเศรษฐกิจหลัก เริ่มส่งสัญญาณถึงความพร้อมในการดำเนินมาตรการนโยบายทางการเงินต่อไปอีกสักระยะ ได้ส่งผลดีโดยตรงต่อตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)
" ตลาดหุ้นไทยกับตลาดต่างประเทศสัปดาห์นี้เริ่มสวนทางกัน โดยมองตลาดหุ้นต่างประเทศอาจดูทรงตัวในกรอบ ส่วนหนึ่งมองว่า ตลาดได้ปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมาหลังคลายความกังวลเรื่อง Brexit รวมทั้งยังคงรอราคาน้ำมันให้มีเสถียรภาพที่ชัดเจนกว่านี้ อย่างไรก็ดี ตัวเลข PMI ภาคการผลิตของสหรัฐอเมริกาและ PMI ภาคการผลิตและภาคบริการของจีนที่สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ยังเป็นปัจจัยบวกให้แก่ตลาดได้บางส่วน ทั้งนี้ นักลงทุนต้องติดตามนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ ที่มีแนวโน้มชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป อีกทั้ง ติดตามบันทึกการประชุมของ FOMC และตัวเลข Non-farm payroll ของสหรัฐอเมริกาที่จะทยอยประกาศออกมาในสัปดาห์นี้"นายมณฑล กล่าว
นายมณฑลเพิ่มเติมว่า การลงทุนในช่วงนี้ ปัจจัยแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว และในบางจังหวะตลาดมีความผันผวน ซึ่งช่วงนี้ บริษัทมองว่า ผู้ลงทุนอาจจัดสรรพอร์ตการลงทุนเพื่อลงทุนในกองทุนที่มีความผันผวนตามตลาดค่อนข้างต่ำ เช่น หุ้นที่มีธรรมภิบาลที่ดี ที่มีการจ่ายเงินปันผลน่าสนใจ หรืออุตสาหกรรมที่มีความต้องการลงทุน เช่น โรงพยาบาล เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวมักสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทแนะนำกองทุนเปิด วรรณ โฮสพีทอล (ONE-HOSPITAL) ที่เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่ดีและมีแนวโน้มการเติบโตสูง และ กองทุนเปิด วรรณ แอนไท คอรัปชั่น (ONE-ACT) มีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจน โดยต้องคัดเลือกหุ้นที่มีธรรมาภิบาลที่ดีผ่านสถาบันรับรองด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี 3 สถาบัน โดยพิจารณาควบคู่กับฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน
สำหรับ ผลการดำเนินงานของกองทุน ONE-HOSPITAL ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (17 มี.ค. 59) กองทุนให้ผลตอบแทน 12.82% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน 3.98% ขณะที่กองทุน ONE-ACT แม้ว่าจะเปิดเสนอขายได้ไม่นาน แต่ผลการดำเนินงาน ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (15 พ.ค. 59) ให้ผลตอบแทน 2.09% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน 0.99%
"ในไตรมาส 3 ถือว่าเป็นช่วงที่ดีของธุรกิจโรงพยาบาล โดยผลการดำเนินงานของกองทุน ONE-HOSPITALที่ผ่านมาก็ดี และหากผู้ลงทุนที่ไม่ชอบความผันผวนของตลาด หุ้นโรงพยาบาลก็น่าสนใจ เพราะหุ้นในธุรกิจนี้ไม่หวือหวาเน้นการจ่ายปันผล อีกทั้งเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่สามารถถือลงทุนได้ 2-3 ปี อย่างไรก็ดี ในแง่ของการประเมินมูลค่าหุ้นโรงพยาบาลยังมี PE ต่ออัตราการเติบโต(PEG Raito) ที่น่าสนใจและหากพิจารณาในเชิงโอกาสการแข่งขันของธุรกิจแล้ว นับว่าเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง เพราะธุรกิจโรงพยาบาลเป็นสถานพยาบาลที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ผ่านนวตกรรมใหม่ๆ อีกทั้งยังเติบโตได้ดีในสังคมที่นิยมการรักษาสุขภาพ ขณะที่ กองทุน ONE-ACT ถือว่าเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นธรรมาภิบาลที่ได้รับการยอมรับและให้ผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างดี เนื่องจากบริษัทที่มีธรรมาภิบาลจะช่วยทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนกลับสู่ผู้ถือหุ้นในที่สุด ทั้งนี้กองทุน ONE-ACT ยังเป็นกองทุนประเภท Thematic หรือ กองทุนที่มีรูปแบบเฉพาะ ดังนั้นเชื่อว่าหากผลการดำเนินงานดีย่อมมีความต้องการจากลูกค้าเพิ่มขึ้น" นายมณฑล กล่าว