นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์ (BTW) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างในวันที่ 11 กรกฎาคม 2559 โดย BTWประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) มีบริษัท เบสท์เทค แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นบริษัทแกนซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กและโครงสร้างเหล็ก (Steel Fabrication) สำหรับงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมหนักทั้งในและต่างประเทศเช่น อุตสาหกรรมเหมืองแร่ ก๊าซและปิโตรเลียม และพลังงาน ทั้งนี้บริการของบริษัทแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่งานแปรรูปและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ (Modularization) และงานแปรรูปชิ้นงานเหล็ก (Parts Fabrication)
BTW มีทุนชำระแล้ว 378 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 600 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน156 ล้านหุ้น เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 4-6 กรกฎาคม 2559 ในราคาหุ้นละ 3.75 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 585 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 2,835 ล้านบาท มีบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายโชติก รัศมีทินกรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์ (BTW) เปิดเผยว่า BTW มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าด้วยการส่งมอบชิ้นงานที่มีคุณภาพและตรงตามกำหนดเวลา บริษัทฯ มีการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐานในระดับสากล ทั้งนี้ การนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า และสร้างฐานทุนที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต โดย BTW จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ปรับปรุงพื้นที่โรงงานสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักรและอุปกรณ์ ชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
นอกจากนี้ BTW ยังมีบริษัทย่อยอีก 3 แห่ง ซึ่งยังไม่ได้เริ่มดำเนินธุรกิจ ได้แก่ บริษัท บีที แอนด์ อาวล์ โซลาร์ 1 จำกัด บริษัท โกลบอล คลีน เอ็นเนอร์จี จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับธุรกิจด้านพลังงานในอนาคต และบริษัท เบสท์เทค อินดัสตรีส์ จำกัด เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตของธุรกิจให้บริการแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กและโครงสร้างเหล็กด้วย
BTW มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวศาตวินท์ ถือหุ้น 51.59% ครอบครัวรัศมีทินกรกุล ถือหุ้น27.78% และนางสุจิตรา มนต์เสรีนุสรณ์ ถือหุ้น 0.66% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 10.53 เท่า คำนวณจากผลกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (1 เม.ย. 2558-31 มี.ค. 2559) ซึ่งเท่ากับ 269.22 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.36 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด
ผู้ลงทุนและผู้สนใจ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.btwealthindustries.com และที่เว็บไซต์ www.set.or.th