นายสุวัฒน์ เหลืองวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) (BWG) ผู้นำในธุรกิจกำจัดกากอุตสาหกรรมอย่างครบวงจรรายเดียวในประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2559 บริษัทฯได้จัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท บี กรีน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการพัฒนาและจัดสรรที่ดิน,ซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ในรูปแบบการนิคมอุตสาหกรรม และในรูปแบบอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน เพื่อขับเคลื่อนงานด้านพัฒนานิคมอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนอย่างเต็มตัว หลังจากที่งานดังกล่าวมีความชัดเจนและคืบหน้าไปมาก
"หลังจากที่ BWG ได้เซ็น MOU กับการนิคมอุตสาหกรรมไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เพื่อศึกษาและพัฒนานิคมอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนจากวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งจนถึงขณะนี้งานดังกล่าวมีความชัดเจนมากขึ้น บริษัทฯ จึงได้จัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาดูแลงานดังกล่าวอย่างเต็มตัว เพื่อให้การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเห็นความคืบหน้างานดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างเป็นลำดับหลังจากนี้" นายสุวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เพื่อร่วมดำเนินงานโครงการศึกษาและพัฒนานิคมอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนจากวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ได้มาตรฐานสากล และถูกต้องตามกฎระเบียบของทางราชการ เพื่อนำสิ่งเหลือใช้จากการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และถูกต้องตามหลักวิชาการ ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เล็งเห็นประโยชน์ของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนจากวัสดุไม่ใช้แล้วที่ได้มาตรฐานสากล เพราะนอกจากจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวดตามกฎระเบียบของ กนอ. แล้ว ยังสามารถนำวัสดุเหลือใช้จากอุตสาหกรรมที่ไม่มีมูลค่า มาพัฒนาเป็นพลังงานทางเลือก เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรของประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย
"กนอ. มอบหมายให้บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รวบรวมพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการ เข้ามาศึกษาถึงความเป็นไปได้ร่วมกัน และเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการศึกษาการบริหารจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้วอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ และเกิดประสิทธิภาพต่อประเทศชาติ ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจากโรงงานอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน และปัจจุบันเป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจนี้อย่างครบวงจร" นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าว
นายสุวัฒน์ เหลืองวิริยะ กล่าวว่า โครงการศึกษาและพัฒนานิคมอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนจากวัสดุที่ไม่ใช้แล้วเกิดขึ้นเพื่อต้องการจัดตั้งและพัฒนานิคมอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนจากวัสดุที่ไม่ใช้แล้วขึ้นเป็นนิคมอุตสาหกรรมต้นแบบครั้งแรกของประเทศไทย เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมประเภทเดียวกันเข้าไปอยู่รวมกันอย่างมีระบบ เพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแล และสามารถพัฒนาระบบสาธารณูปโภคให้สอดรับกับความต้องการที่แท้จริงของโรงงานอุตสาหกรรมประเภทดังกล่าว โดยผ่านการคัดสรรเทคโนโลยีที่เหมาะสม
"โครงการนี้เกิดขึ้นเพราะต้องการสานต่อนโยบายของ กนอ. ที่ต้องการให้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐานสากล เข้ามารองรับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศ ประกอบกับรัฐบาลให้การสนับสนุนการนำวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจากโรงงานอุตสาหกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งด้านการนำกลับมาใช้ใหม่และการแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี และมองว่าเป็นประโยชน์หากธุรกิจประเภทเดียวกันมาอยู่ด้วยกันภายใต้ระบบสาธารณูปโภคที่ได้มาตรฐานถูกต้องตามกฎหมาย และข้อบังคับ ภายใต้การควบคุมและดูแลอย่างใกล้ชิดจาก กนอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นประโยชน์ทั้งสำหรับผู้ประกอบการที่จะมีที่ตั้งโรงงานที่มีระบบสาธารณูปโภคครบครัน เป็นประโยชน์ต่อทางภาครัฐที่สามารถควบคุมและกำกับดูแลโรงงานได้อย่างใกล้ชิดด้วยระบบที่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ของภาครัฐ ซึ่งสุดท้ายแล้วประเทศชาติจะได้ประโยชน์ ที่นอกจากจะสามารถลดปริมาณกากอุตสาหกรรมได้แล้ว ยังได้พลังงานเข้ามาใช้ในประเทศอีกด้วย" นายสุวัฒน์กล่าว
สำหรับโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ได้ศึกษาความเป็นไปได้ใน 3 ภูมิภาคของไทย คือ ภาคกลาง/ปริมณฑล และภาคตะวันออก ในโซนที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งภาคตะวันตกที่จะเชื่อมกับโซนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเชื่อมไปยังเขตเศรษฐกิจอาเซียน รองรับการรวมตลาดเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ความร่วมมือของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เพื่อเป็นนิคมอุตสาหกรรมต้นแบบสำหรับการพัฒนาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ สิ่งแวดล้อม และประชาชนอย่างแท้จริง