"ผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2559 ของกลุ่มทิสโก้ ปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2 ก็ดีขึ้นกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยยังคงชะลอตัว และยอดขายรถยนต์ภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้สินเชื่อรวมลดลงเล็กน้อย ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญในไตรมาส 2 ปี 2559 ลดลง ตามคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายการตั้งสำรองอย่างระมัดระวังในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน" นางอรนุช กล่าว
อย่างไรก็ตามภาพรวมธุรกิจของกลุ่มทิสโก้ในปีนี้ยังคงเดินหน้าตามแผนเดิม คือ เน้นการบริหารต้นทุนเงินทุนประสิทธิภาพ เน้นการสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม ด้านธุรกิจจัดการกองทุนและธุรกิจนายหน้าประกันภัย พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจสินเชื่อรายย่อย รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีให้ทันสมัย ซึ่งปัจจุบันทิสโก้ได้ทำการพัฒนาระบบโมบายแบงก์กิ้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการทางการเงินแก่ลูกค้าในยุคดิจิทัลได้อย่างตรงจุด และได้เปิดให้บริการ "ทิสโก้ พร้อมเพย์" เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าอีกช่องทางหนึ่งด้วย
สรุปผลประกอบการไตรมาส 2/2559
สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ งวดครึ่งปีแรกของปี 2559 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า มีกำไรสุทธิจำนวน 2,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.1 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 จากความสามารถในการรักษาอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อรวม และการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และมีการตั้งสำรองหนี้สูญลดลงร้อยละ 13.9 จากคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากธุรกิจหลักปรับตัวลดลงเล็กน้อย ที่ร้อยละ 2.8 จากการชะลอตัวของธุรกิจตลาดทุน โดยรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงร้อยละ 14.4 และรายได้ค่าธรรมเนียมพื้นฐานของธุรกิจจัดการกองทุนลดลงร้อยละ 15.5 อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์เติบโตร้อยละ 3.3 จากการขยายตัวของธุรกิจนายหน้าประกันภัย
สำหรับไตรมาส 2 ปี 2559 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 มาอยู่ที่ 1,208 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 จากการบริหารต้นทุนเงินทุนที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การตั้งสำรองหนี้สูญลดลงถึงร้อยละ 25.6 จากคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและการควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 มีจำนวน 230,833 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.0 จากไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับผลกระทบจากการอ่อนตัวของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Car Inventory Financing) ตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวช้าและยอดขายรถยนต์ภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้น อย่างไรก็ดีสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่ออเนกประสงค์ยังคงปรับตัวดีขึ้นตามแผนการขยายธุรกิจของกลุ่มทิสโก้ ในขณะเดียวกัน หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 3.07 เป็นร้อยละ 3.03 จากการปรับตัวดีขึ้นของคุณภาพสินเชื่อ
กลุ่มทิสโก้ยังคงสามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังคงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมอยู่ในระดับต่ำ ที่ร้อยละ 39.8 นอกจากนี้ ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดทั้งปี โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์ (BIS Ratio) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 18.6 สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำร้อยละ 9.125 ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 14.6 และร้อยละ 4.0 ตามลำดับ