ผลการสำรวจสาธารณะเรื่องพฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมของประชาชนและความคิดเห็นต่อการขึ้นราคา

อังคาร ๑๒ กรกฎาคม ๒๐๑๖ ๑๒:๓๔
โพลล์ระบุประชาชน 28.03% ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำทุกวัน ร้อยละ 69.06 ทราบถึงอันตรายกับสุขภาพหากดื่มน้ำอัดลมมากเกินไป แต่ร้อยละ 62.91 ยอมรับการขึ้นราคาไม่ส่งผลต่อการลดการซื้อ

ศ. ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน ประธานกรรมการอาวุโส ,อาจารย์พรพิสุทธิ์ มงคลวนิช ประธานกรรมการ ,ดร.พิสิฐ พฤกษ์สถาพร กรรมการรองผู้อำนวยการ และอาจารย์วัฒนา บุญปริตร กรรมการรองผู้อำนวยการสำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม (ระดับอุดมศึกษา) แถลงผลการสำรวจพฤติกรรมและความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต่อการดื่มน้ำอัดลม ซึ่งได้ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 19 ถึง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559 จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,170 คน

ศ.ดร.ศรีศักดิ์กล่าวว่า น้ำอัดลมจัดเป็นเครื่องดื่มประเภทหนึ่งที่ผู้คนในสังคมให้ความนิยมมาก เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยดับกระหายคลายร้อนและสร้างความสดชื่นทำให้หายง่วงได้ ขณะเดียวกันยังมีราคาที่ไม่แพงเกินไปและสามารถหาซื้อได้ทั่วไป รวมถึงมีลักษณะบรรจุภัณฑ์และขนาดต่างๆให้เลือกซื้อได้ ด้วยเหตุดังกล่าวผู้คนจึงนิยมซื้อน้ำอัดลมดื่มนอกเหนือจากเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้หรือชากาแฟ

แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีการนำเสนอผลการวิจัยและข้อมูลทางสาธารณะสุขที่ระบุถึงอันตรายต่อสุขภาพหากดื่มน้ำอัดลมมากเกินไป ทั้งนี้เนื่องจากในเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมนั้นมีส่วนผสมประเภทน้ำตาลอยู่ในปริมาณพอสมควร จึงทำให้ผู้คนในสังคมส่วนหนึ่งเริ่มตระหนักถึงอัตรายกับสุขภาพหากตนเองดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปและเริ่มคำนึงถึงปริมาณการดื่มน้ำอัดลมที่เหมาะสม ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐมีการเสนอแนวคิดการขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมซึ่งรวมถึงน้ำอัดลมเพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้ผู้คนตระหนักถึงสุขภาพและลดปริมาณการดื่มลง

จากประเด็นดังกล่าว สำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์จึงได้ทำการสำรวจพฤติกรรมและความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต่อการดื่มน้ำอัดลม

ศ.ดร.ศรีศักดิ์กล่าวต่อว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นเพศหญิงร้อยละ 50.68 เพศชายร้อยละ 49.32 ส่วนใหญ่มีอายุ 25 ถึง 34 ปีคิดเป็นร้อยละ 31.11 สามารถสรุปผลได้ดังนี้ ในด้านพฤติกรรมการดื่มน้ำอัดลมนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 36.41 ระบุว่าตนเองดื่มน้ำอัดลมเป็นบางวัน ขณะที่ร้อยละ 28.03 ยอมรับว่าดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำทุกวัน ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 14.7 ระบุว่าดื่มเฉพาะโอกาสสำคัญ เช่น งานเลี้ยง งานฉลอง โดยกลุ่มตัวอย่างที่เหลือดื่ม 3 ถึง 6 วัน/สัปดาห์ และ 1 ถึง 2 วัน/สัปดาห์โดยเฉลี่ยซึ่งคิดเป็นร้อยละ 11.97 และร้อยละ 8.89 ตามลำดับ สำหรับสาเหตุสำคัญสูงสุด 3 อันดับที่กลุ่มตัวอย่างดื่มน้ำอัดลมได้แก่ ดับกระหาย/คลายร้อนคิดเป็นร้อยละ 78.63 ทำให้สดชื่น/ทำให้หายง่วงคิดเป็นร้อยละ 76.15 และมีรสชาติดีกว่าน้ำประเภทอื่นคิดเป็นร้อยละ 74.1

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำชา และ น้ำอัดลม กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 36.75 ระบุว่าตนเองดื่มน้ำเปล่ามากกว่าน้ำประเภทโดยเฉลี่ยในหนึ่งวัน รองลงมาดื่มน้ำผลไม้และน้ำอัดลมคิดเป็นร้อยละ 24.53 และร้อยละ 19.15 ตามลำดับ ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 7.78 ดื่มน้ำชามากที่สุด โดยที่มีกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 11.79 ระบุว่าดื่มพอๆกันทั้ง 4 ประเภท ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบระหว่างน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำชา และน้ำอัดลม กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่นิยมดื่มน้ำเปล่าในระหว่างมื้ออาหารมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 33.5 รองลงมาร้อยละ 25.73 และร้อยละ 20.43 นิยมดื่มน้ำอัดลมและน้ำผลไม้ในระหว่างมื้ออาหารมากที่สุดตามลำดับ ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 11.11 ระบุว่านิยมดื่มน้ำชา และกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 9.23 นิยมดื่มพอๆกัน

กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 59.91 นิยมซื้อน้ำอัดลมมาเก็บไว้ภายในที่พักอาศัย ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 40.09 ไม่นิยม

ในด้านความรับรู้ต่ออันตรายจากการดื่มน้ำอัดลมหากดื่มมากเกินไป กลุ่มตัวอย่างมากกว่าสองในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 69.06 ทราบว่าการดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปจะส่งผลอันตรายต่อสุขภาพได้ ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 30.94 ยอมรับว่าไม่ทราบ ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 57.44 ยอมรับว่าถึงแม้จะทราบถึงอันตรายต่างๆที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปจะไม่ส่งผลให้ตนเองลดปริมาณการดื่มน้ำอัดลมลง

ในด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับราคา การโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการกำหนดปริมาณส่วนผสมของน้ำอัดลมนั้น กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 62.91 มีความคิดเห็นว่าการขึ้นราคาน้ำอัดลมจะไม่ส่งผลให้ตนเองซื้อน้ำอัดลงน้อยลง อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 55.64 มีความคิดเห็นว่าจำเป็นต้องเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดกับสุขภาพหากดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างเกือบสองในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 65.04 มีความคิดเห็นว่าหากมีการห้ามมิให้โฆษณาน้ำอัดลมในสื่อสาธารณะต่างๆจะไม่ส่งผลให้ผู้คนซื้อน้ำอัดลมน้อยลง ขณะที่กลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 52.74 เห็นด้วยหากจะมีการระบุคำเตือนให้ดื่มน้ำอัดลมในปริมาณที่กำหนดเพื่อไม่ให้ส่งผลอันตรายกับสุขภาพ และกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 72.14 มีความคิดเห็นว่าควรมีการกำหนดปริมาณน้ำตาลในน้ำอัดลมให้ต่ำกว่าที่มีการใช้ผสมอยู่ในน้ำอัดลมในปัจจุบัน

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๐๐ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท โรงแรมที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของคุณ
๑๗ เม.ย. คอนติเนนทอล เปิดตัวเทคโนโลยี Ac2ated Sound เมื่อหน้าจอแสดงผลสามารถส่งเสียงได้ !
๑๗ เม.ย. ออปโป้ชวนสัมผัสความงามประเพณีไทย ผ่านภาพพอร์ตเทรต จากวิดีโอสารคดี สีสันใหม่ ในวันสงกรานต์
๑๗ เม.ย. ล้ำไปอีกขั้น. ไฟน์ไลน์ซักผ้าเข้มข้น ดีลักซ์ เพอร์ฟูม คริสตัล บูเก้ มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ Charming Booster
๑๗ เม.ย. Phytomer Thailand เปิดตัวทรีทเม้นท์สำหรับผิวคนในเมืองที่จะต้องเผชิญภาวะฝุ่นละออง PM 2.5
๑๗ เม.ย. เตรียมล็อคคิว หลิง-ออม ชวนแฟน ๆ ร่วมเบิร์ดเดย์ LINGORM BIRTHDAY CHARITY 2025 กดบัตร 20 เม.ย. นี้
๑๗ เม.ย. โก โฮลเซลล์ ลุยเคาะรั้วมหาวิทยาลัย ชี้ช่องตำแหน่งงาน นำร่อง ม.มหาสารคาม เจาะนิสิตเฉพาะทาง เพิ่มผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจ ตอกย้ำ Brand Core
๑๗ เม.ย. กรมการท่องเที่ยว ชวนผู้ประกอบการไทยอบรมออนไลน์ รู้ลึก เกณฑ์คุณภาพที่พักนักเดินทาง Home Lodge
๑๗ เม.ย. MOTHER ส่งซิกผลงาน Q1/68 เริ่ด!
๑๗ เม.ย. บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมงาน Sustainability Week Asia 2025 ครั้งที่ 4 ฉายวิสัยทัศน์ ตอกย้ำผู้นำพลังงานสะอาด ก้าวสู่เป้าหมาย Net