นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ผู้บุกเบิกธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในอาเซียน เปิดเผยว่า เราจะเริ่มดำเนินธุรกิจใหม่ในอินโดนีเซียแบบ 'Rocket Start' หรือพุ่งพรวดทันที เนื่องจากเราได้มีการเตรียมความพร้อมในช่วงที่รอคอยใบอนุญาตจากทางการอินโดนีเซีย จึงทำให้เรามีความพร้อมเต็มที่และสามารถเริ่มดำเนินกิจการได้ทันทีในตอนนี้ โดยคาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายแรกได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้
สำหรับธุรกิจของ GL ในอินโดนีเซียนั้น ดำเนินการโดยบริษัท PT Group Lease Finance Indonesia (GLFI) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท Group Lease Holdings PTE. Ltd (GLH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ GL ที่จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ โดยถือหุ้นใน GLFI 65% และบริษัท J TRUST ASIA (JTA) ซึ่งเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์และได้ซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพชุดล่าสุดของ GL มูลค่า 130 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย JTA ถือหุ้นใน GLFI 20% ส่วนหุ้นที่เหลืออีก 15% ถือโดยกลุ่มทุนท้องถิ่น
นายทัตซึยะ กล่าวชี้แจงว่า ธุรกิจในอินโดนีเซียนั้นจะมีอัตรากำไรประมาณ 40% ซึ่งสูงกว่าอัตรากำไรในกัมพูชาและประเทศไทย โดยจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนและเริ่มสร้างผลกำไรได้ในระยะเวลาอันสั้นเนื่องจากเป็นโมเดลธุรกิจใหม่โดย GLFI จะมีรายได้หลักจากค่าธรรมเนียมและค่าคอมมิชชั่นต่างๆ ในการบริหารสินเชื่อ ขณะที่พันธมิตรทางยุทธศาสตร์กลุ่ม J TRUST BANK (Indonesia) ซึ่งมีสาขาธนาคาร 62 แห่งทั่วประเทศอินโดนีเซีย จะเป็นฝ่ายรับผิดชอบด้านเงินทุนให้กู้และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)
นายทัตซึยะ กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า GLFI มีเป้าหมายหลักปล่อยสินเชื่อในกลุ่มเครื่องจักรกลการเกษตร รถจักรยานยนต์มือสอง เงินกู้ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน (เช่น รถยนต์และรถจักรยานยนต์) เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่างๆ และแผงโซลาร์เซลล์ตลอดจนสินเชื่อประเภทใหม่ๆ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ต่ำ เช่น เงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยและการปรับปรุงบ้านพักอาศัย โดยการปล่อยสินเชื่อจะใช้ระบบดิจิทัลไฟแนนซ์ที่มีความคล่องตัวและประสิทธิภาพสูง ซึ่ง GL ได้พัฒนาและนำไปใช้อย่างได้ผลในกัมพูชาก่อนหน้านี้
ตลาดอินโดนีเซียนับเป็นประเทศที่ 3 และเป็นตลาดใหญ่ที่สุดหลังจากที่ GL ได้ขยายธุรกิจจากฐานในประเทศไทยไปสู่กัมพูชาและ สปป.ลาวก่อนหน้านี้ โดยนายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานบริษัท ได้เคยกล่าวชี้แจงก่อนหน้านี้ว่าตลาดในอินโดนีเซียซึ่งมีประชากรกว่า 250 ล้านคน มีขนาดใหญ่กว่าตลาดกัมพูชาถึง 10 เท่า โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชนบทห่างไกลและกว่า 70% ยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อซึ่งจะกลายเป็นตลาดของ GLFI โดยตลาดกัมพูชาขณะนี้ถือว่ามีความสำคัญต่อธุรกิจโดยรวมของกลุ่ม GL เป็นอย่างยิ่ง อันเห็นได้จากยอดกำไรสุทธิ 222 ล้านบาทในไตรมาส 1 ของปีนี้ มากกว่าครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 120 ล้านบาทเป็นกำไรจากผลประกอบการนอกประเทศไทย โดยส่วนใหญ่จะเป็นกำไรจากผลประกอบการในกัมพูชา
นายทัตซึยะคาดการณ์ว่า กำไรจากธุรกิจใหม่ในอินโดนีเซียจะเริ่มเป็นกอบเป็นกำภายในปีหน้าและจะพุ่งมากขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใน 5 ปีข้างหน้านี้
ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นสมัยวิสามัญของ GL เมื่อเดือนที่ผ่านมา ได้อนุมัติให้บริษัทออกหุ้นกู้แปลงสภาพจำนวนเงิน 130 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับ JTA ตลอดจนออกใบสำคัญแสดงสิทธิ 170 ล้านหน่วย (GL-W4) สำหรับผู้ถือหุ้นของ GL ในอัตราส่วน 9:1 โดยราคาแปลงสภาพของ GL-W4 และหุ้นกู้แปลงสภาพกำหนดไว้ที่ 40 บาทต่อหน่วย ซึ่งเงินทุนก้อนใหม่จากหุ้นกู้แปลงสภาพและการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิเหล่านี้ จะนำมาใช้ในการขยายธุรกิจในตลาดที่กลุ่ม GL ดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว คือประเทศไทย กัมพูชาและ สปป.ลาว ตลอดจนการขยายไปสู่ตลาดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับเงินทุนที่ใช้ในการขยายธุรกิจในอินโดนีเซียนั้น จะมาจากกลุ่ม J TRUST BANK (Indonesia) ซึ่งสามารถระดมเงินฝากจากท้องถิ่นได้ โดยประธานบริษัท นายมิทซึจิได้กล่าวชี้แจงเมื่อเร็วๆ นี้ว่าความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุนซึ่งเป็นผลจากประชามติของอังกฤษให้ถอนตัวจากสหภาพยุโรปนั้น จะสร้างโอกาสอย่างดียิ่งสำหรับการควบรวมกิจการ เนื่องจากเป้าหมายของกลุ่มบริษัทที่อยู่ในข่ายที่ GL จะไปซื้อกิจการนั้นราคาจะถูกลง