นายกสมาคมมะเร็งนรีเวชไทย แนะนำผู้หญิงที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ให้พบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกๆ 2-3 ปี ด้วยวิธีเซลล์วิทยา หรือ HPV DNA สำหรับการตรวจแบบ HPV DNA เพียงอย่างเดียวสามารถใช้ในการตรวจคัดกรองปฐมภูมิ (Primary Screening) แล้วจึงแยกแยะต่อว่า จำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งปากมดลูกเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่นอีกหรือไม่ ทั้งนี้ HPV DNA Test เป็นวิธีการตรวจชนิดแรกที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีข้อมูลสนับสนุนเพียงพอที่จะระบุถึงความเสี่ยงของผู้ป่วยในการเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกในอนาคตได้
เนื่องจากเชื้อไวรัส HPV เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ซึ่งสามารถอยู่ในร่างกายได้นานถึง 10 ปี หรืออาจจะนานกว่านั้นโดยไม่แสดงอาการใดๆ การตรวจ HPV DNA จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกในอนาคตได้ อีกทั้งยังเพิ่มความแม่นยำให้แก่การตรวจแพปสเมียร์เพียงอย่างเดียว อีกทั้ง สตรีที่ติดเชื้อไวรัส HPV มักไม่แสดงอาการออกมา ดังนั้น การตรวจตรวจหา DNA ของเชื้อไวรัส HPV ด้วย HPV DNA Test ทุกๆ 3 ปี จะเพิ่มโอกาสในการตรวจพบเชื้อตั้งแต่ต้น และนำไปสู่การป้องกันมะเร็งปากมดลูกในระยะยาวได้ ซึ่งจากสถิติพบว่าหากตรวจพบเร็ว การรักษาในระยะก่อนมะเร็ง มีโอกาสหายขาดสูงถึงร้อยละ 98 แต่หากพบมะเร็งปากมดลูกในระยะลุกลามแล้ว โอกาสหายจะลดลงอย่างมาก
ศ.พญ.สฤกพรรณ วิไลลักษณ์ นายกสมาคมมะเร็งนรีเวชไทย เผยว่า "ปัจจุบันมะเร็งปากมดลูกถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากมีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงในบรรดามะเร็งของสตรี จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ ปีละเกือบ 10,000 ราย และเสียชีวิตประมาณปีละเกือบ 5,000 ราย หรือโดยเฉลี่ยประมาณ 14 รายต่อวัน[i] สาเหตุสำคัญที่ทำให้หญิงไทยเป็นโรคนี้คือ ความอายที่จะไปตรวจคัดกรอง ซึ่งหากเข้ารับการตรวจคัดกรองและพบว่าเป็นระยะก่อนมะเร็ง แพทย์สามารถทำการรักษาให้หายขาดได้ ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัส HPV จะไม่มีอาการ จึงไม่รู้ว่าตนเองมีเชื้อไวรัส HPVอยู่ในร่างกายหากไม่ไปตรวจ ซึ่งจากสถิติพบว่าผู้หญิง 4 ใน 5 คน จะติดเชื้อไวรัส HPV ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต โดยที่เชื้อไวรัส HPV ติดต่อได้ผ่านทางการสัมผัส ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทางเพศสัมพันธ์"
HPV DNA Test ที่ได้รับการรับรองนี้ใช้วิธีการเก็บเซลล์บริเวณปากมดลูกในการตรวจหา DNA ของเชื้อ HPV จำนวน 14 สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง โดยสามารถระบุเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ได้อย่างเฉพาะเจาะจง และยังสามารถตรวจหาเชื้อ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูงอีก 12 สายพันธุ์ได้ในการตรวจเพียงครั้งเดียว ทั้งนี้ โรคมะเร็งปากมดลูกเกือบทุกกรณีมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ HPV โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกถึงร้อยละ 70[ii]
ศ.พญ.สฤกพรรณ วิไลลักษณ์ กล่าวเสริม "เนื่องจากผู้หญิง 4 ใน 5 คน จะติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูก ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต[iii] สมาคมฯ จึงต้องการรณรงค์ให้หญิงไทยหันมาใส่ใจกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกกันให้มากขึ้น
ดร. อัลแบร์โต กูเตียร์เรซ ผู้อำนวยการ Office of In Vitro Diagnostics and Radiological Health, Center for Devices and Radiological Health จากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า "การรับรองให้ HPV DNA Test เป็นการตรวจคัดกรองปฐมภูมิสำหรับโรคมะเร็งปากมดลูก นับเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับสตรีและแพทย์ในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก โดยบริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ ได้ทำการวิจัยอย่างสมบูรณ์และให้ข้อมูลเพียงพอในการสร้างความมั่นใจต่อองค์การอาหารและยาถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของ HPV DNA Test ในการตรวจคัดกรองแบบปฐมภูมิสำหรับโรคมะเร็งปากมดลูก"
"ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้อย่างมากมายเกี่ยวกับเรื่อง HPV และมะเร็งปากมดลูก ซึ่งปัจจุบันเรายังพบอีกว่า การป้องกันโดยวิธีตรวจคัดกรองด้วย HPV DNA Test นั้น มีความไวต่อการตรวจพบได้ดีและสูงกว่าวิธีดั้งเดิมอย่างแพปสเมียร์ (Pap smear) และ วีไอเอ (VIA) โดยมีผลการทำวิจัยที่ชัดเจนแล้ว และเป็นวิธีตรวจคัดกรองที่องค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้การรับรองด้วย ทำให้สูตินรีแพทย์มีความมั่นใจในการใช้ HPV DNA Test เป็นการตรวจคัดกรองในแบบปฐมภูมิมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทย โดยใช้เทคโนโลยีใหม่" ศ.พญ.สฤกพรรณ วิไลลักษณ์ นายกสมาคมมะเร็งนรีเวชไทย กล่าวสรุป
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไวรัส HPVและโรคมะเร็งปากมดลูกได้ที่เว็บไซต์ www.hpvactnow.com
[i] GLOBOCAN 2012: Estimated Cancer Incidence, Mortality and Prevalence Worldwide in 2012 http://globocan.iarc.fr/Pages/fact_sheets_population.aspx
[ii] Schiffman, M, et al. Human papillomavirus and cervical cancer. Lancet. 2007; 370:890–907.
[iii] Centers for Disease Control and Prevention. Human Papillomavirus (HPV)-Associated Cancers. http://www.cdc.gov/cancer/hpv/basic_info/