นายธัช ธงภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 59 ว่า บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 132.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม123.18 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.52% และมีกำไรสุทธิจำนวน 6.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน4.10 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 59.89%
ผลประกอบการงวดครึ่งแรกปี 59 บริษัทมีรายได้รวม 132.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.26 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 7.52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 123.18 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น2.46 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 59.89% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.10 ล้านบาท
ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ รายได้รวมมีการเติบโตเพิ่มขึ้นตามสภาวะตลาดงานก่อสร้างที่มีแนวโน้มดีขึ้นกว่าปีก่อนทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ บริษัทฯกำลังอยู่ในสภาวะที่สามารถขยายตัวได้โดยไม่มีความเสี่ยงมากนักจากการชะลอตัวของธุรกิจก่อสร้าง โดยการขยายตัวของบริษัทฯจะมุ่งเน้นไปในงานภาครัฐที่เริ่มมีการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมและภาคเอกชนที่มีโอกาสในการขยายตัวและมีความเสี่ยงไม่มากนัก เช่น งานในภาคธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เป็นต้น ถึงแม้ในไตรมาสนี้จะมีการบันทึกหนี้สงสัยจะสูญจากโครงการหนึ่งที่มีความล่าช้า แต่บริษัทฯก็ยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ในภาพรวม
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังธุรกิจของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยงานโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่อยู่ในสถานะการรับรู้รายได้อย่างเต็มที่ สำหรับงานใหม่ที่บริษัทเริ่มงานเข้ามาในไตรมาสที่ 2 มีเพิ่มขึ้นจำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอน และโครงการส่วนปรับปรุงเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นในและปรับปรุงทัศนียภาพ มูลค่ารวมประมาณ 40 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่างานในมือของบริษัทเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 300 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2561
อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเดินหน้าเสนองานวิศวกรที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้างทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทได้เข้าร่วมยื่นข้อเสนองานเมกะโปรเจคภาครัฐ 1 โครงการ คาดว่าจะทราบผลโครงการแรกในช่วงกลางไตรมาส 3 นี้ และอยู่ระหว่างการเตรียมการยื่นข้อเสนออีก 1 โครงการทราบผลในช่วงปลายไตรมาส 4 ปี 59
สำหรับงานในกลุ่มประเทศ AEC บริษัทมีการชะลอการดำเนินงานลง เนื่องจากโครงการในต่างประเทศค่อนข้างมีความล่าช้า และมีปัจจัยกระทบการดำเนินงานที่ไม่สามารถควบคุมได้หลายประการ อาทิ การปรับเปลี่ยนรัฐบาลที่ส่งผลถึงการปรับเปลี่ยนนโยบายในประเทศเมียนม่า การปกป้องอาชีพสายวิศวกรรมให้เฉพาะคนในประเทศ จึงเกิดอุปสรรคในการส่งวิศวกรไทยเข้าไปดูแลควบคุมโครงการ อย่างไรก็ตามบริษัทยังเข้าเสนองานโครงการในกลุ่มประเทศ AEC ต่อไป แต่จะเลือกพิจารณาโครงการที่มีความแน่นอนและมีความชัดเจนของรายละเอียดการดำเนินงานโดยที่ไม่มีความเสี่ยงทางด้านต้นทุนในการทำงานในต่างประเทศมากนัก