นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA ผู้ประกอบธุรกิจผลิต จำหน่ายและติดตั้งผลิตภัณฑ์กระจายและส่งจ่ายไฟฟ้า สวิตซ์บอร์ดไฟฟ้า รางไฟฟ้า โคมไฟและระบบส่องสว่าง งานบริการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง และงานบริการหลังการขายครบวงจร เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2/2559 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการรวม 691.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 602.57 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิของบริษัทฯ และบริษัทย่อย งวดไตรมาส 2/59 อยู่ที่ 61.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 41.84 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 8.86% สาเหตุที่ผลกำไรสุทธิในไตรมาส 2/59 ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่บริษัทเป็นผู้ผลิต รวมถึงการเติบโตของยอดขายรวมของบริษัทฯทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 59 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการรวม 1,314.30 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,117.03ล้านบาท เพิ่มขึ้น 197.27 ล้านบาท หรือ 18% กำไรสุทธิอยู่ที่ 124.90 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 77.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.54 ล้านบาท หรือ 75% ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 6.35% เป็น 9.45% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดว่าในปีนี้รายได้ของบริษัทฯ จะเติบโตประมาณ 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,549.60 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทฯ ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯ อาทิ โครงการรถไฟฟ้า โครงการสายไฟลงดิน ขณะเดียวกันภาคเอกชนก็ได้มีการขยายการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้า งานโทรคมสื่อสาร ดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบันบริษัทฯ มีมูลค่างานในมือ (Backlog) มากกว่า 1,800 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ปีนี้ราว 60 - 65% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2560 ขณะที่สัดส่วนรายได้ปัจจุบันมาจากกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเป็นผู้ผลิต และจำหน่าย 73% กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เทรดดิ้ง 15% ส่วนที่เหลือเป็นงานบริการและโครงการรื้อถอนโรงไฟฟ้าอยู่ที่ 12%
"เศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้การเติบโตเป็นไปตามฤดูกาล แต่งานและ Backlog ของบริษัทฯ ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี และนอกจากนี้ยังมีงานที่อยู่ระหว่างการประมูลงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยหนุนงานในมือเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มรายได้จากการเปิดสาขาในต่างจังหวัด และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการขยายและรวมโรงงานจากบางบอนมาไว้ที่เดียว กันกับโรงงานแห่งใหม่ที่ จ.สมุทรสาคร ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำลังการผลิตได้มากขึ้น" นายไพบูลย์ กล่าว