นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เข้าลงทุนในบริษัท ออล โคโค จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมะพร้าวน้ำหอมและผลิตภัณฑ์ขนมจากน้ำมะพร้าวน้ำหอม มีศักยภาพการบริหารจัดการครอบคลุมตั้งแต่ต้นสายของการดูแลวัตถุดิบถึงขั้นตอนสุดท้ายในการผลิต ภายใต้งบลงทุน 140 ล้านบาท เพื่อเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 40% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด หลังจากนั้นจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 51% ภายในปี 2561 และเพิ่มเป็น 60% ภายในปี 2563 ตามลำดับ เพื่อรองรับแผนดำเนินงานที่ต้องการรุกขยายพอร์ตสินค้าและสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง หลังจาก 'เซ็ปเป้' มองเห็นศักยภาพการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวน้ำหอม ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในตลาดโลก
ธุรกิจน้ำมะพร้าว ถึงแม้จะมียอดการเติบโตที่ดี แต่มีข้อจำกัดทางธุรกิจค่อนข้างมาก ทั้งในด้านของคุณภาพและปริมาณวัตถุดิบ เนื่องจากมะพร้าวเป็นสินค้าทางการเกษตรที่ต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะทาง โดยเฉพาะมะพร้าวน้ำหอม รวมถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับเครือข่ายเกษตรกร ทั้งนี้ พันธมิตรในการร่วมทุนในครั้งนี้ ถือเป็นผู้นำในตลาดส่งออกมะพร้าวน้ำหอมที่มีคุณภาพสินค้าเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศมานานกว่า 10 ปี ภายใต้แบรนด์ K-Fresh นอกเหนือจากผลสดส่งออกแล้ว ยังมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องภายใต้กลุ่มบริษัท All coco มีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น เช่น น้ำมะพร้าวน้ำหอม HPP (High Pressure Processing) ซึ่งผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่ใช้แรงดันในการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์โดยไม่ใช้ความร้อน ช่วยยืดอายุสินค้าได้นานขึ้นและรักษารสชาติรวมถึงคุณประโยชน์เทียบเท่ากับน้ำมะพร้าวในผลสด 100% นอกเหนือจากนี้ยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนม ได้แก่ ไอศกรีม พุดดิ้ง น้ำมะพร้าวเกล็ดหิมะ (snowflex) จัดจำหน่ายผ่านร้านภายใต้แบรนด์ 'all coco' ที่กระจายอยู่ในศูนย์การค้าชั้นนำมากถึง 14 สาขา อาทิ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ดิ เอ็มโพเรียม ดิ เอ็มควอเทียร์ เซ็นทรัลลาดพร้าว ขณะเดียวกันยังมีคู่ค้าในต่างประเทศติดต่อขอสิทธิ Franchise ไปจำหน่ายถึง 3 ประเทศในช่วงเวลาไม่ถึงปีหลังเปิดตัวธุรกิจ
"เรามีศักยภาพด้านการทำตลาดและสร้างแบรนด์สินค้าในตลาดต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่งของ SAPPE เมื่อมารวมกับจุดแข็งของ ออล โคโค ที่มีจุดเด่นด้านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพจะช่วยกันต่อยอดความสำเร็จผลักดันน้ำมะพร้าวของคนไทยสู่ตลาดโลก ภายในแบรนด์ของคนไทย โดยเราตั้งเป้าว่าภายในปี2564 จะทำยอดขายได้มากกว่า 500 ล้านบาท" นางสาวปิยจิต กล่าว
นางวราภรณ์ มนัสรังษี กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ออล โคโค กล่าวว่า ธุรกิจของเรามาถึงจุดนี้ได้มาจากความมุ่งมั่นและความรักในการพัฒนาสินค้าจากมะพร้าวน้ำหอมที่ดีต่อสุขภาพ โดยเราเชื่อมั่นว่าสินค้าที่ดี มีคุณภาพ จะทำให้ลูกค้ามีความสุข ซึ่งที่ผ่านมาถึงแม้ว่าเราจะไม่มีความชำนาญในการขายมากนัก แต่ด้วยสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้ธุรกิจเราเติบโตอย่างต่อเนื่อง วันนี้ บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ SAPPE ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการทำตลาดที่ประสบความสำเร็จในการส่งออกสินค้าภายใต้แบรนด์ของคนไทยไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น การที่ SAPPE เข้ามาร่วมถือหุ้นกับบริษัทฯในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพของกันและกัน โดยเรามีเป้าหมายเดียวกันในการนำมะพร้าวน้ำหอมของคนไทยออกสู่ตลาดต่างประเทศให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าทั่วโลก
"กลุ่มบริษัท ออล โคโค มีความพร้อมด้านวัตถุดิบและกำลังการผลิต โดยดำเนินการผ่านเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรมาเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี มีพื้นที่เพาะปลูกรวมกันกว่า 6,000 ไร่ รวมผลผลิตประมาณ 100,000 ลูกต่อวัน เพื่อป้อนวัตถุดิบให้กับไลน์การผลิตใหม่ที่พร้อมเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ อีกทั้งเรายังเป็นผู้จัดส่งมะพร้าวน้ำหอมที่มีคุณภาพเป็นวัตถุดิบให้กับแบรนด์น้ำมะพร้าวระดับโลกอีกหลายราย" นางสาววราภรณ์ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAPPE กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 (เมษายน-มิถุนายน) บริษัทฯ สามารถสร้างกำไรเติบโตก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิ 150.72ล้านบาท เพิ่มขึ้น 143.8% จากไตรมาสแรกปีนี้ ที่มีกำไรสุทธิ 61.81 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 836.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ ที่มีรายได้รวม 604.74 ล้านบาท โดยปัจจัยการเติบโตมาจากปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น จากการฟื้นตัวในทิศทางที่ดีของตลาดส่งออกในหลายภูมิภาค และบริษัทยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนในกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามแผนการลงทุนขยายกำลังการผลิต เพิ่มกำลังการผลิตการเป่าขวดทดแทนการซื้อ และแผนการรวบฐานการผลิตจากโรงงานบางชันไปที่คลอง 13 ปทุมธานี
สำหรับการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยบริษัทยังคงเป้ายอดขายเติบโต 15% ซึ่งจะเป็นการเติบโตจากตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ในขณะที่ตลาดในประเทศไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก สำหรับการเติบโตทางธุรกิจจากการร่วมทุนในครั้งนี้ เรามีกำหนดการเข้าซื้อกิจการในวันที่ 1 ตุลาคม และภายหลังจากการเข้าร่วมทุน จะมีการออกสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดต่างประเทศตั้งแต่ต้นปี 2560 เป็นต้นไป เราเชื่อว่าธุรกิจนี้มีศักยภาพในการเติบโตไปถึงพันล้านได้ในระยะยาว ทั้งนี้ภายหลังจากการเข้าร่วมทุนเสร็จสิ้น ทางบริษัทฯจะนำเสนอรายละเอียดแผนธุรกิจอีกครั้งหนึ่ง