ประเด็นแรก การกำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการสรรหาฯ มาจากหน่วยงานของรัฐทั้งหมด จึงทำให้ประชาชนขาดการมีส่วนร่วมในการกำหนดการสรรหากรรมการ กสทช. ผ่านองค์กรที่มาจากภาคประชาชนโดยตรง เช่นเดียวกับเจตนารมณ์ที่ปรากฏในกฎหมายฉบับปี 2543 และฉบับปี 2553 ดังนั้นจึงสมควรกำหนดให้มีองค์กรที่มาจากประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรงในการสรรหากรรมการ กสทช.
ประเด็นสอง ในร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่ ได้มีการยกเลิก "คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน" ซุปเปอร์บอร์ด หรือ กตป. โดยกำหนดให้มี "คณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติงาน" โดยเปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่ในสาระสำคัญ ซึ่งถือได้ว่า เป็นการยกเลิกระบบการตรวจสอบภายนอกโดยสิ้นเชิง และปรับเปลี่ยนให้เป็นเพียงหน่วยตรวจสอบภายใน ขององค์กร เนื่องจากมีอำนาจหน้าที่เฉพาะการกำกับบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินผลการดำเนินงานของ กสทช. สำนักงาน กสทช. และเลขาธิการ กสทช. และแจ้งผลดังกล่าวให้ กสทช.ทราบเพื่อดำเนินการต่อไปตามที่ กสทช. เห็นสมควร จึงไม่น่าจะก่อให้เกิดผลดีกับกระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุล การดำเนินงานของ กสทช. โดยรวม นอกจากนี้ การกำหนดให้มีผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) และผู้แทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) เข้าร่วมเป็นกรรมการกำกับ การประเมินผลการปฏิบัติงานจึงเป็นกรณีที่อาจก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินงานของ กสทช. ในภายหลัง เนื่องจากทั้งสองหน่วยงานเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบการดำเนินงานหน่วยงานของรัฐ รวมถึง กสทช. อยู่แล้ว หากการทำหน้าที่ตรวจสอบตามกฎหมายปรากฏว่าขัดหรือแย้งกับมติหรือความเห็น ของผู้แทนหน่วยงานตนเอง ย่อมก่อให้เกิดปัญหาทับซ้อนในการดำเนินการ
ประเด็นสาม การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ในร่างฯฉบับใหม่ ได้มีการกำหนดสาระเพิ่มเติม "...แต่ในกรณีที่เป็นการประกอบกิจการทางธุรกิจที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ การคัดเลือกให้ทำโดยวิธีการประมูลแต่หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการประมูลต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับโดยจะคำนึงถึงจำนวนเงินที่เสนอให้แต่เพียงอย่างเดียวมิได้" นั้น เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ในลักษณะดังกล่าวจะก่อให้เกิดปัญหาทั้งในด้านการพิจารณาอนุญาตและการแข่งขันเข้าสู่ตลาด เนื่องจากเป็นการทำลายหลักการสำคัญที่กำหนดให้ใช้วิธีการประมูลสำหรับกิจการทางธุรกิจ อีกทั้งในการจัดประมูลคลื่นความถี่ย่อมสามารถกำหนดเงื่อนไขการประมูลให้ต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับได้อยู่แล้ว เช่น การประมูลทีวีดิจิทัลที่ผ่านมามีการแบ่งช่องรายการในหลายประเภท เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะในด้านต่างๆ จึงเห็นควรให้ตัดสาระในส่วนนี้ออก
รวมทั้งประเด็นที่ว่าหากต้องกำหนดให้มีการชดเชยเยียวยาการเรียกคืนคลื่นเพื่อสนับสนุนการใช้คลื่นความถี่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ ควรมีเพียงกรณีเดียว คือ เป็นกรณีที่ผู้ใช้คลื่นความถี่ได้สิทธิในการใช้คลื่นความถี่มาโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยวิธีการประมูลเท่านั้น เพราะกระบวนการเรียกคืนคลื่นความถี่ตามมาตรา 82 มาตรา 83 ประกอบมาตรา 84 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 ฉบับปัจจุบัน มีความชัดเจนเพียงพอแล้ว การกำหนดเพิ่มเติมในลักษณะดังกล่าวอาจกระทบกับกระบวนการเรียกคืนคลื่นความถี่เพื่อนำมาจัดสรรใหม่และสร้างภาระให้กับรัฐในการเรียกคืนคลื่นความถี่โดยไม่จำเป็น เนื่องจากหน่วยงานที่ถือครองคลื่นความถี่ในระบบเดิมทั้งหมดเป็นหน่วยงานภาครัฐซึ่งมิได้มีสถานะเป็นเจ้าของทรัพยากรคลื่นความถี่ดังกล่าว
ประเด็นสี่ การแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารกองทุนให้สามารถนำเงินของกองทุนไปลงทุนได้ ซึ่งเป็นการกำหนดให้มีการดำเนินการในลักษณะที่ขัดต่อหลักการในการจัดเก็บเงินจาก ผู้ประกอบกิจการ เพื่อนำมาส่งเสริมและพัฒนากิจการอันเป็นที่มาของรายได้ อีกทั้งรายได้ของกองทุนซึ่งถูกปรับแก้กฎหมาย ให้ผ่องถ่ายไปยังหน่วยงานของรัฐอื่นแล้วย่อมมีเงินไม่มาก จึงควรกำหนดให้นำเงินกองทุนไปใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เดิมเท่านั้น ไม่ควรมีการนำเงินกองทุนไปลงทุนเพื่อแสวงหารายได้ได้
ประเด็นห้า การบริหารจัดการภายในของสำนักงาน กสทช. และเป็นอำนาจของ กสทช. ในการกำหนดโครงสร้างการบริหารงานบุคคลตามมาตรา 46 ซึ่งสะท้อนว่าเป็นเพียงการประกันประโยชน์ให้กับบางกลุ่ม จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะบัญญัติไว้เป็นกฎหมายเช่นนี้และเห็นควรให้ตัดสาระในส่วนนี้ออก
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ฉบับคณะรัฐมนตรีเสนอนั้น อยู่ในระหว่างการพิจารณาแก้ไขในขั้นตอนของคณะกรรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ สนช. นายมนตรี ศรีเอี่ยมสะอาด เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ