นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ประเมินตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ผันผวน จากการรอผลของการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) ในวันที่ 20-21 กันยายน นี้ แม้ว่าในตลาดคาดว่า Fed จะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ แต่ตลาดทองคำ และตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน กลับคาดการว่า Fed อาจจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
ขณะที่ BOJ คาดว่า จะมีความใกล้เคียงกับธนาคารยุโรป (ECB) ธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางสวิสฯ ที่ได้มีการประชุมก่อนหน้านี้ ซึ่งทุกธนาคารหยุดรอดูว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ในขณะที่ BOJ คาดว่าจะไม่ขยาย QEเพิ่ม เพราะนายกรัฐมนตรีอาเบะ จะใช้มาตรการทางการคลังขยายตัวเต็มที่
ด้านตัวเลขดัชนี CPI ของสหรัฐฯ รอบ 12 เดือน ล่าสุดออกมาดีที่ระดับ 2.30% ซึ่งเลยเป้า 2% ของ Fed มาเป็นเดือนที่สองติดต่อกันแล้ว ส่งผลให้ตลาดอื่น ๆ มองว่าความเป็นไปได้ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ยังมีอยู่ ส่วนเหตุการณ์ระเบิดที่สหรัฐฯ ทั้ง 2 จุด ที่นิวเจอร์ซี่ และนิวยอร์ค นั้น ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนและความวิตกกังวลของนักลงทุนเข้ามา
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้าน SET Index สัปดาห์ที่แล้วฟื้นตัวขึ้น หลังจากปรับตัวลดลงไปหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ สัปดาห์นี้ มองกรอบ SET Index ที่ 1,434-1,501 จุด ยังมี Downside อยู่พอสมควร โดยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยกองทุนภายในประเทศ ว่าจะยังคงขายหุ้นออกอีกหรือไม่ หลังจากตั้งแต่ต้นปีกองทุนในประเทศขายออกอย่างต่อเนื่องไปประมาณ 4.5-4.6 หมื่นล้านบาท กลายเป็นว่า นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้เข้ามาซื้อหุ้นราว 1.27 แสนล้านบาท ซึ่งยังคงขึ้นอยู่กับผลการประชุมของ Fed เพราะหาก Fed ขึ้นดอกเบี้ย อาจมีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปอีกก็ได้ ทำให้สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างผันผวน
ด้านกลยุทธ์การลงทุน จะขึ้นอยู่กับประเภทของนักลงทุน โดยหากเป็นนักลงทุนระยะสั้น ช่วงนี้แนะนำให้ถือเงินสด และรอดูสถานการณ์โดยรวม แต่สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว ตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 1 ปี ขึ้นไป เรามองว่าเศรษฐกิจโลกอยู่ในขาขึ้นแล้ว หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวชัดเจนแล้ว จากสัญญาณการจะปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ดังนั้น การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นก็จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโลก ด้านเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตหลังจาก GDP ไตรมาส 2 ดีขึ้นเป็นลำดับ และคาดว่า ไตรมาส 3 น่าจะออกมาดีเช่นกัน รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ ก็ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นในเชิงพื้นฐานตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้ เพียงแต่ในช่วงสั้น ยังถูกกดดันจากปัจจัยต่างๆที่กล่าวมา
ในแง่ของการลงทุนระยะยาว theme การลงทุน ให้เน้นลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ หุ้นโรงพยาบาล และหุ้นที่เคลื่อนไหวตามวัฏจักรเศรษฐกิจ (Cyclical) เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร และหุ้นกลุ่มบริการ กลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ
สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำซื้อหุ้น PTTGC ของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ราคาเป้าหมาย 67 บาท โดยที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลง ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะแข็งแกร่งขึ้นเนื่องจากจะไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานหลายๆ หน่วยเช่นที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และผลการดำเนินงานในปีหน้าก็จะดียิ่งขึ้นอีกจากการขยายตัวของสาย olefin ในวัฏจักรขาขึ้น และการฟื้นตัวของสาย aromatic ที่น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
เราคาดราคาขายผลิตภัณฑ์ Polyolefin ของหน่วยธุรกิจโอเลฟินส์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ จะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการใช้ขั้นพื้นฐานในภูมิภาคที่แข็งแกร่ง รวมไปถึงจากการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของราคาน้ำมันดิบโลก ซึ่งจะทยอยส่งผลบวกต่อผู้ผลิตปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบ
ด้านส่วนต่าง (Spread) ราคาผลิตภัณฑ์ HDPE ในภูมิภาคเทียบแนฟทาที่ยังคงยืนตัวในระดับสูงยังคงสะท้อนความต้องการใช้ที่แข็งแกร่งในภาวะขาขึ้นของวัฏจักรดังกล่าว
แนวโน้มกำไรสุทธิคาดจะเห็นการเติบโต 15% YoY ในปีนี้ หนุนจากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังปี 2559 ที่คาดว่าจะแข็งแกร่งดังกล่าวที่จะสามารถชดเชยกับผลกระทบเชิงลบจากการหยุดซ่อมบำรุงในช่วงครึ่งปีแรกได้ ก่อนที่กำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเต็มที่อีก 17% YoY ในปี 2560 ราคาหุ้นปัจจุบันยังน่าสนใจด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ราว 5.0-5.5% ต่อปี