โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ เชิญชวนคนไทยดูแลหัวใจก่อนสายเกินแก้ “Master Heart Care Station” 2016 สถานีเติมพลังพร้อมดูแลหัวใจอย่างมืออาชีพ

ศุกร์ ๒๓ กันยายน ๒๐๑๖ ๑๗:๔๕
โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ เชิญชวนคนไทยดูแลหัวใจก่อนสายเกินแก้ "Master Heart Care Station" 2016 สถานีเติมพลังพร้อมดูแลหัวใจอย่างมืออาชีพ เนื่องในวันหัวใจโลก

ปัจจุบันอัตราผู้ป่วยโรคหัวใจในคนไทยเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีสาเหตุมาจากปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุที่มากขึ้น มีภาวะอ้วน และไขมันสะสม สูบบุหรี่เป็นประจำ มีโรคประจำตัวคือเบาหวานและความดัน ไม่ชอบออกกำลังกาย เกิดความเครียดบ่อยครั้ง ที่เป็นตัวเร่งทำให้กลายเป็นโรคหัวใจในอนาคต เนื่องในวันหัวใจโลก "World Heart Day 2016' โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ เชิญรณรงค์ร่วมกันสำรวจหัวใจ ดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงในงาน "Master Heart Care Station" สถานีเติมพลังพร้อมดูแลหัวใจอย่างมืออาชีพ เพื่อขับเคลื่อนสุขภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ พบกับนิทรรศการให้ความรู้ด้านสุขภาพหัวใจ อาทิ Power your life เพราะหัวใจคือพลังของชีวิต Fuel your heart เรียนรู้เรื่องหัวใจ และอาหารที่ช่วยเพิ่มพลังหัวใจ Move your heart หยุดทุกความเสี่ยง เพื่อเสริมแรงขับเคลื่อนให้หัวใจ Love your heart รักหัวใจ รู้ทันโรค เพื่อป้องกันและรักษา ณ โถงชั้น 1 โรงพยาบาลกรุงเทพ พร้อมรับคำปรึกษาทางการแพทย์เมื่อมาตรวจเพื่อเลือกแพคเกจตรวจสุขภาพหัวใจ Heart Check – up Package ได้ที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ในระหว่างวันที่ 20-30 กันยายน 2559 เวลา 08.30-16.00 น.

นายแพทย์ประดับ สุขุม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ เปิดเผยว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดยังคงเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนทั่วโลก และอันดับ 2 ในประเทศไทย โดยในอนาคตมีแนวโน้มผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มมากขึ้น หากดูจากสถิติจะพบว่ามีผู้ที่เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดทั่วโลกมากถึง 17 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 23 ล้านคน ในปี 2030 โดยการแสดงออกของโรคแตกต่างกันไป โรคหัวใจที่พบมากถึง 5 เท่า และนำไปสู่ความพิการและเสียชีวิต โรคหัวใจที่พบได้บ่อยคือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน และภาวะหัวใจห้องบนเต้นระริก (Atrial Fibrillation) พบมากในผู้สูงอายุ ซึ่งทำให้แรงบีบตัวของหัวใจห้องบนเสียไป เลือดจึงหมุนวนตกค้างในหัวใจห้องบนจนก่อให้เกิดลิ่มเลือด ซึ่งสามารถหลุดออกจากหัวใจไปอุดกั้นหลอดเลือดสมองทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์อัมพาตเฉียบพลันได้ อีกทั้งภาวะนี้ยังส่งผลให้หัวใจล่างเต้นเร็วและไม่สม่ำเสมอทำให้แรงบีบตัวเพื่อสูบฉีดโลหิตลดน้อยลง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมจะนำไปสู่ภาวะหัวใจวายในที่สุด การรักษาจึงจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจไม่ให้เร็วจนเกินไป (rate control) หรือควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้กลับมาเต้นปกติ (rhythm control) เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหัวใจซึ่งทำให้เกิดหลอดเลือดอุดตันในอวัยวะสำคัญส่วนอื่นของร่างกายตามมา รวมถึงแนวทางการรักษาอื่นๆ ที่ได้ผล เช่น การใช้ไฟฟ้ากระตุกเพื่อปรับการเต้นของหัวใจ (cardioversion) ให้กลับเต้นปกติ และการใช้สายสวนหัวใจเพื่อจี้ตัดวงจรไฟฟ้าผิดปกติในหัวใจด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง ซึ่งจะทำให้หัวใจกลับเต้นปกติ

นอกจากนี้ ยังพบคนไทยที่ป่วยด้วย หลอดเลือดแดงโป่งพอง(Aneurysm) จากสภาวะที่หลอดเลือดขยายใหญ่ขึ้น (โป่งพอง) ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการอะไร ยกเว้นในกรณีที่หลอดเลือดแดงที่โป่งพองมีการปริแตก อาจมีอาการปวดท้อง ปวดหลัง หรือปวดในช่องอกได้เฉียบพลัน และมักจะพบร่วมกับอาการช็อคด้วย เนื่องจากมีการเสียเลือดอย่างเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดโป่งพองมีสาเหตุหลักมาจากการสูบบุหรี่ ภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะคลอเรสเตอรอลสูง น้ำหนักเกิน และพันธุกรรมก็อาจเป็นสาเหตุของโรคนี้เช่นกัน แต่สามารถตรวจพบได้ ด้วยเครื่องตรวจคลื่นสะท้อนความถี่สูง หรือเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ สำหรับการรักษาอาจมีสองวิธี คือ การผ่าตัดเปลี่ยนหลอดเลือดแดง ซึ่งจะตัดหลอดเลือดที่ผิดปกติออกและใส่หลอดเลือดเทียมที่เรียกว่า WOVEN GRAFT แทน วิธีนี้ศัลยแพทย์จำเป็นต้องผ่าตัด ซึ่งแผลผ่าตัดอาจมีขนาดใหญ่ ไม่ว่าเป็นที่ช่องอก หรือช่องท้อง ซึ่งโดยปกติผู้ป่วยอาจต้องอยู่โรงพยาบาลประมาณ 7- 10 วัน และใช้ระยะเวลาพักฟื้นนาน และการรักษาด้วยขดลวดดามหลอดเลือดจากภายในหรือที่เรียกว่า ENDOVASCULAR REPAIR เป็นการรักษาจากภายในหลอดเลือดเอง โดยใส่ขดลวดที่หุ้มด้วยใยสังเคราะห์ผ่านทางแผลผ่าตัดขนาดเล็กที่ขาหนีบ ขดลวดดังกล่าวจะถูกใส่ตรงตำแหน่งที่หลอดเลือดโป่งพอง ทำให้เลือดไม่สามารถไหลผ่านได้ และจะค่อยๆฝ่อไปในที่สุด ผู้ป่วยจะมีแผลขนาดเล็ก และพักฟื้นในโรงพยาบาลไม่นาน ผู้ป่วยสามารถกลับไปมีกิจวัตรตามปกติได้รวดเร็ว

นายแพทย์ประดับ กล่าวเสริมว่า เราหลีกเลี่ยงการเป็นโรคหัวใจและสามารถดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยจัดการกับปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ เช่น อย่าปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดมาเลี้ยงร่างกาย กล้ามเนื้อหัวใจจะหนาขึ้น หัวใจจะโตขึ้น หลอดเลือดตีบแข็งและอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย และนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวในที่สุด การสูบบุหรี่ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 2 – 4 เท่า เนื่องจากสารที่อยู่ภายในบุหรี่จะทำให้เซลล์ที่เยื่อบุผนังหลอดเลือดเสื่อม ทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน จะนำไปสู่สภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย ระดับไขมันแอลดีแอลโคเลสเตอรอลสูง จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงขึ้น ไขมันดังกล่าวจะทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้น และหลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลเวียนน้อยลง ในที่สุดหลอดเลือดหัวใจก็อุดตันและเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคเบาหวาน ก็เป็นความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและหัวใจสูงขึ้น เพราะเบาหวานจะทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ เสื่อมลงดังนั้นเพื่อร่างกายที่แข็งแรง ควรออกกำลังกายเป็นประจำช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ และยังสามารถช่วยควบคุมปัจจัยความเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิต ระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด เบาหวานและน้ำหนักที่มากเกินไป

สำหรับการดูแลสุขภาพง่ายๆ เริ่มที่ตัวเรา ตั้งแต่การทานอาหาร Healthy food จำพวกผลไม้ ผักและธัญพืชให้ได้ทุกวัน เพราะอาหารประเภทนี้มีไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุมาก แคลอรี่ต่ำ ช่วยควบคุมน้ำหนัก หรือทานอาหารจำพวกปลาที่มีโอเมก้าสูง เช่น ปลาทูน่า จะช่วยลดปริมาณอาหารประเภทไขมันสูง เพราะจะทำให้ไขมันเกาะหลอดเลือดมากขึ้น และพยายามหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม หรือลดปริมาณเกลือ เราอยากให้ทุกคนหันมาดูแลหัวใจเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจอย่างถูกวิธี เพราะหัวใจเปรียบเสมือนพลังของชีวิตที่เป็นแรงขับเคลื่อนและต่อยอดคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น นายแพทย์ประดับกล่าวทิ้งท้าย

อาจารย์จตุพล ชมพูนิช แนะเรื่อง การออกกำลังกายและการรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย " You are what you need You are what you think You are what you eat ""ผมเป็นวิทยากร ในแต่ละครั้งการบรรยายจะใช้เวลานานทั้งวัน ผมจะออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จึงทำให้ไม่เหนื่อยง่าย ร่างกายแข็งแรงและ สิ่งที่สำคัญจะไม่เครียดด้วย"ร่างกายของคนเราควรได้รับการดูแลจากภายในสู่ภายนอกโดยเฉพาะความเครียดเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายเราควรหันมาดูแลสุขภาพ อาทิ การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายของเรานั้นผ่อนคลาย ไม่เหนื่อยง่าย ผมจึงอยากจะแนะนำให้คนทั่วไปควรหันมาใส่ใจและออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควรงด หวาน มัน เค็ม การออกกำลังกายแรกๆก็ควรทำแต่ทีละน้อยและค่อยๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญ เมื่อร่างกาย จิตใจ และสมองได้ผ่อนคลาย ไม่มีความเครียด ร่างกายก็จะดีตามไปด้วยครับ อาจารย์จตุพลทิ้งท้ายแบบสั้นๆ

สำหรับท่านที่สนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center โทร.1719

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๙:๕๕ ดร.เอ้ สุดยอดผู้นำด้าน AI เชื่อมั่น รพ.พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร จะปฏิวัติการแพทย์ไทย ด้วย AI พร้อมความตั้งใจอันแน่วแน่
๐๙:๐๓ รมว.นฤมล ผลักดันกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR)
๐๙:๑๖ เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ร่วมกับ สภากาชาดไทย ชวนร่วมบริจาคโลหิต 26 ธันวาคมนี้ ชั้น 7 โซน A เพิ่มโลหิต เพิ่มชีวิต
๐๙:๔๗ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดเต็ม!! ลงพื้นที่เร่งลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาส สร้างชีวิตแก่ชาวหนองคายอย่างยั่งยืน
๐๙:๕๕ มูลนิธิอายิโนะโมะโต๊ะ ส่งมอบอาคารโรงอาหารอายิโนะโมะโต๊ะ ให้แก่ โรงเรียนบ้านดอนมะกอก จังหวัดสุราษฎร์ธานี
๐๙:๐๕ กทม. เข้มงวดโครงการก่อสร้างคอนโดฯ ในซอยสุขุมวิท 93 ปฏิบัติตามมาตรการ EIA
๐๙:๕๐ การเคหะแห่งชาติตั้งเป้าสร้างที่อยู่อาศัยรองรับสังคมผู้สูงอายุ
๐๙:๒๘ ทำอย่างไรจึงจะทำให้มีการใช้ generative AI มากขึ้น
๐๙:๔๐ NocNoc จับมือ กฟผ. ส่งความสุขปีใหม่ให้คนรักบ้าน มอบส่วนลดสินค้าประหยัดไฟเบอร์ 5 สูงสุด 500 บาท เมื่อช้อปผ่าน NocNoc Chat Shop ทัก-ช้อป-ลด เริ่ม 25 ธ.ค. 67
๐๙:๑๔ Warrior ตั้ม ศุภกิตติ์ หรือ ตั้ม โทมัส ทอม จากทีมมาสเตอร์ ดร.อั้ม อธิชาติ คว้าชัย The Social Warrior คนแรกของประเทศไทย