ในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับการส่งออกยังคงมีแนวโน้มหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนในประเทศยังทรงตัว จากปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังกล่าวส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 1,901,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32,997 ล้านบาทหรือร้อยละ 1.8 จากสิ้นปี 2558 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และรายกลาง และสินเชื่อลูกค้าบุคคล
จากเศรษฐกิจไทยที่ค่อยๆ ขยายตัวส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวและฟื้นตัว โดยธนาคารยังคงอยู่เคียงข้างลูกค้าด้วยการให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือลูกค้าอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเสมอมา ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน73,187 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.4 ของเงินให้สินเชื่อรวม ทั้งนี้ธนาคารยังคงยึดหลักความระมัดระวังด้วยการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 ธนาคารมีเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในระดับสูงที่ 116,757 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ6.1 ของเงินให้สินเชื่อ และในไตรมาส 3 ปี 2559 ค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญมีจำนวน 4,946 ล้านบาท
ด้านสภาพคล่อง ธนาคารให้ความสำคัญเรื่องการบริหารสภาพคล่องให้เพียงพอควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 ธนาคารมีเงินรับฝากจำนวน 2,106,870 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15,905 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.8 จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 90.3 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 89.4 ณ สิ้นปีก่อน
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2559 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีเดียวกัน ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 8,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 892 ล้านบาทหรือร้อยละ 12.4 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 16,066 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 470 ล้านบาทหรือร้อยละ 3.0 และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.33 เนื่องจากการบริหารต้นทุน เงินรับฝากให้ลดลง สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 10,887 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,637 ล้านบาทหรือร้อยละ 17.7 ส่วนใหญ่มาจากกำไรสุทธิจากเงินลงทุน ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิมีจำนวน 6,157 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 181 ล้านบาทหรือร้อยละ 3.0 รายการที่สำคัญมาจากค่าธรรมเนียมจากบริการอิเล็กทรอนิกส์และการโอนเงิน และค่าธรรมเนียมจากบริการกองทุนรวมและบริการประกันชีวิตผ่านธนาคาร สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 12,095 ล้านบาท ลดลง 504 ล้านบาทหรือร้อยละ 4.0 สาเหตุหลักเกิดจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารสถานที่และอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ลดลง
ด้านเงินกองทุน ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ในระดับที่ดีสามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งหากนับรวมกำไรสุทธิของไตรมาส 3 ปี 2559 เข้าเป็นเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยจะอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 19.2 ร้อยละ 17.3 และร้อยละ 17.3 ตามลำดับ
ส่วนของเจ้าของ ณ วันที่ 30 กันยายน 2559 มีจำนวน 370,887 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.9 ของสินทรัพย์รวม และมูลค่าตามบัญชีเท่ากับ 194.30 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 4.74 บาท จากสิ้นปี 2558