นายสุปรี เบ้าสิงห์สวย กรรมการและผู้ช่วยเลขาธิการมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท กล่าวว่า "โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน" เป็นโครงการที่มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท และซีพีเอฟได้น้อมนำแนวพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ที่ต้องการแก้ปัญหาภาวะโภชนาการต่ำกว่ามาตรฐานของเด็กไทย จึงดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี 2533 หรือกว่า 26 ปีแล้ว ปัจจุบันมีโรงเรียนทั่วประเทศกว่า 604 แห่งเข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย โรงตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) 128 แห่ง โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และอื่นๆ 476 แห่ง ช่วยให้เด็กไทยในพื้นที่ห่างไกลกว่า 140,000 คน พ้นจากภาวะทุพโภชนาการได้อย่างเป็นรูปธรรม จากการได้รับโปรตีนและสารอาหารจำเป็นจากไข่ไก่เสริมสร้างโภชนาการที่ดี
ล่าสุดในปี 2559 นี้ ทางมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบทได้เปิดรับโรงเรียนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มอีก 50 แห่ง โดยโรงเรียนที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับการสนับสนุน 1) งบประมาณการก่อสร้างโรงเรือนตามแบบมาตรฐานที่กำหนด 2) อุปกรณ์กรงตับ และอุปกรณ์ให้น้ำ พร้อมการติดตั้ง 3) พันธุ์สัตว์ 4) อาหารสัตว์ตลอดระยะเวลาการเลี้ยง 1 รุ่น/56 สัปดาห์, วัคซีน 5) ป้ายโครงการ 6) การอบรมให้ความรู้ สำหรับโรงเรียนที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท โทร. 02-6257342
สำหรับโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนนี้ ทางมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท จะเข้ามาดำเนินการด้านการบริหารจัดการโครงการและงบประมาณ การคัดเลือกโรงเรียนที่จะดำเนินงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ การจัดทำแผนการดำเนินงาน การติดตามและรายงานผล โดยมีซีพีเอฟเข้ามาสนับสนุนในส่วนของการส่งมอบเทคโนโลยีอันทันสมัยในส่วนของโรงเรือนและอุปกรณ์ รวมถึงมอบพันธุ์ไก่ไข่ พร้อมส่งผู้เชี่ยวชาญถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคนิควิชาการและการจัดการ และเข้าดูแลให้คำปรึกษาแก่อาจารย์และนักเรียนผู้ดูแลโครงการ เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพการผลิตสูงสุดซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนได้บริโภคไข่ไก่สดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 มื้อ หรือ 120 ฟองต่อคนต่อปีการศึกษา ได้เรียนรู้การผลิตอาหารปลอดภัยด้วยตนเอง แล้วนำผลผลิตไข่สดที่ได้มาแบ่งปันบริโภคกันภายในโรงเรียนผ่านระบบสหกรณ์โรงเรียน ได้เรียนรู้การจัดการตั้งแต่วัยประถมศึกษา นอกจากนั้นเยาวชนเหล่านี้ ยังสามารถนำองค์ความรู้ไปพัฒนาและต่อยอดเลี้ยงชีพในอนาคตได้อย่างยั่งยืน
นายสุปรี กล่าวเพิ่มเติมว่า "มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท" ได้ก่อตั้งขึ้นโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ และเหล่าพนักงาน ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า และในมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2530 เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบทให้สอดคล้องกับแนวพระราชดำริและพระราชกรณียกิจในงานพัฒนาสังคมของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
"มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท" ดำเนินงานตามแนวทาง 3 ด้าน เริ่มจากการพัฒนาคนและส่งเสริมอาชีพ นำไปสู่การพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้ยุทธศาสตร์ "เศรษฐกิจนำ สังคมตาม " ผ่านการดำเนินงานใน 5 โครงการหลัก อาทิ โครงการส่งเสริมอาชีพในหมู่บ้านสหกรณ์ตามแนวพระราชดำริ, โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน, โครงการเกษตรผสมผสานตามแนวพระราชดำริ "7 รายได้ 7 อาชีพ" จังหวัดบุรีรัมย์, โครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดกาญจนบุรี, โครงการจิตอาสาตอบแทนคุณแผ่นดินถิ่นเกิด ฯลฯ เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรับแนวพระราชดำริด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตราษฎรที่ด้อยโอกาสในชนบทมาดำเนินการตามรอยใต้เบื้องพระยุคลบาท ให้เป็นรูปธรรมที่เป็นตัวอย่างและสามารถขยายผลได้อย่างยั่งยืน" นายสุปรี กล่าวทิ้งท้าย