นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขายกองทุน LTF ใหม่เพิ่มเติมอีก 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค เซ็ท 50 หุ้นระยะยาว (KS50LTF), กองทุนเปิดเค Mid Small Cap หุ้นระยะยาว (KMSLTF) และกองทุนเปิดเค มินิมั่ม โวลาติลิตี้ หุ้นระยะยาว (KMVLTF) โดยทั้ง 3 กองทุนจะเปิดเสนอขายในระหว่างวันที่ 15 – 21 พฤศจิกายน 2559 เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทยและต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
สำหรับกองทุน KS50LTF มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET50 โดยใช้กลยุทธ์การบริหารเชิงรับเพื่อมุ่งสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยเพื่อคาดการณ์ผลตอบแทนตามภาวะตลาดได้อย่างชัดเจน เนื่องจากหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ 50 ตัวแรกมีมูลค่าตลาด (Market Cap) รวมกันคิดเป็น 65% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด (ที่มา Bloomberg, ณ วันที่ 2 พ.ย. 59 จึงมักมีการเคลื่อนไหวสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับตลาด ทั้งนี้จากข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี ดัชนี SET50 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 10.38% ต่อปี ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 11.78% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 59)
นางสาวธิดาศิริกล่าวต่อไปว่า ส่วนกองทุน KMSLTF มีนโยบายลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ไม่เกิน 50,000 ล้านบาท และเน้นการคัดเลือกหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจที่ดีในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI) โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สุทธิของกองทุน เหมาะกับผู้ลงทุนที่สามารถรับความผันผวนได้สูงและต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากจำนวนหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีอยู่มากกว่า 500 ตัวในตลาด ทำให้ผู้จัดการกองทุนมีโอกาสคัดเลือกหรือแสวงหาหุ้นที่ยังมีมูลค่าไม่แพงแต่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี หรือหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ราคาปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องและมีโอกาสเติบโตเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในอนาคต
ด้านกองทุน KMVLTF มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET 100 โดยจะคัดเลือกหุ้นด้วยการวิเคราะห์เชิงปริมาณ อาทิ พิจารณาจากสภาพคล่องและมูลค่าหุ้นที่แท้จริงเพื่อคัดเลือกหุ้นออกมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นจะนำมาสร้างพอร์ตการลงทุนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นโดยกสิกรไทย เพื่อคัดเลือกหุ้นให้เหลือไม่เกิน 25 ตัว และจะกำหนดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมโดยให้น้ำหนักในหุ้นแต่ละตัวไม่เกิน 10% เพื่อมุ่งหวังทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนโดยรวมมีความผันผวนอยู่ในระดับต่ำที่สุด (Minimum Volatility) จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนหรือลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนให้น้อยลง แต่ก็ยังต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในหุ้นไทยในระยะยาว
"บลจ.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าในปี 2560-2562 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปอยู่ระหว่าง 2.5%-4.0% โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศและภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมการบริโภคภาคเอกชน จะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการจ้างงานและการเพิ่มกำลังซื้อผู้บริโภค ขณะที่ปัจจัยภายนอกมาจากสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่ยังมีอยู่สูงจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายทั่วโลก รวมถึงอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นเนื่องจากให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่า ทั้งนี้บลจ.กสิกรไทย คาดการณ์เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2560 อยู่ที่ 1,690 จุด อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องติดตามคือแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯในเดือนธันวาคมนี้ รวมถึงทิศทางการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการเมืองของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังมีความไม่ชัดเจนจนกว่าจะเข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมปีหน้า" นางสาวธิดาศิริกล่าว
ผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KS50LTF กองทุน KMSLTF และกองทุน KMVLTF สามารถลงทุนได้ด้วยมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 500 บาท และต้องลงทุนตามเงื่อนไขภาษี พร้อมพบกับโปรโมชั่นรับหน่วยลงทุน K-MONEY 2 ต่อ เมื่อลงทุนกับกองทุน LTF/RMF กสิกรไทย พร้อมสมัครบริการ K-Saving Plan เป็นครั้งแรกในกลุ่มกองทุน LTF/RMF ระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 – 30 ธันวาคม 2559 โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บลจ.กสิกรไทยกำหนด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888