ผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นของ Gigamon ที่บริษัทฯ รับหน้าที่ทำการตลาดนี้จะตอบโจทย์ให้กับกลุ่มลูกค้าข้างต้นได้ทั้งหมด ด้วยความโดดเด่นของการเป็นผู้นำทางด้านระบบบริหารจัดการด้านความปลอดภัยเครือข่าย (Transforms Security) ที่สมบูรณ์แบบและครบทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน อีกทั้งระบบเครือข่ายในองค์กรปัจจุบัน ได้มีการขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ Gigamon ได้เล็งเห็นปัญหานี้ จึงนำเสนอ Meta - data Engineบน GigaSECURE®, ซึ่งจะเข้ามาช่วยในการตรวจสอบการทำงานของแต่ละแพลตฟอร์มภายในเครือข่ายในทุกๆ จุด เพื่อวิเคราะห์ Security Analyticsเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเครือข่ายได้รวดเร็วยิ่งขึ้นช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบความปลอดภัยในเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
การรักษาความปลอดภัยเครือข่ายมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากแทรฟฟิกเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงจำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเทคโนโลยีเครือข่ายและเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยที่ใช้ในการรับมือกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัยมีความหลากหลายมากขึ้นโดยปกติแล้ว การทำ Security Analyticsภายในองค์กรจะพึ่งพาการตรวจสอบจากNetwork Trafficและ Logsต่างๆเป็นหลัก ซึ่งการที่จะตรวจสอบเครือข่ายทั้งหมดได้ทันและรวดเร็วนั้น เป็นไปได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นแพลตฟอร์ม GigaSECURE® จะช่วยให้การรักษาความปลอดภัยเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายทั้งทางกายภาพ (Physical)และเสมือนจริง(Virtual) สามารถกำหนดค่าให้ส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์หรือเครื่องมืออื่นๆเฉพาะข้อมูลที่ต้องการใช้งานเท่านั้นเพียงแค่เชื่อมต่ออุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเครือข่ายเข้ากับGigaSECUREซึ่งรองรับได้ทุกอินเตอร์เฟซ และ GigaSECUREจะทำการแยกแยะข้อมูลจากต้นทางและส่งเพียงข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปยังอุปกรณ์เครือข่ายเพื่อทำการวิเคราะห์ต่อไปเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถสร้าง Flow-based meta-dataเพื่อส่งไปวิเคราะห์ที่อุปกรณ์อื่นๆได้อีกด้วย
นายสมชาย กล่าวต่อว่า บริษัทฯ มองว่าการเติบโตและการลงทุนทางด้านไอทียังคงขยายตัว โดยเฉพาะตลาดกลุ่มเป้าหมายที่มีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวอย่างชัดเจนของข้อมูลองค์กร ข้อมูลลูกค้า การขยายสาขาของกลุ่มการเงิน
โดยเฉพาะนวัตกรรม FINTECH ที่ทำให้พฤติกรรมของผู้ให้บริการการเงินและกลุ่มลูกค้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จะช่วยให้โอกาสการขายและให้บริการผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นของ Gigamon ตอบโจทย์ความต้องการด้านระบบความปลอดภัยได้อย่างดี และในภาพรวมการขายของทั้งองค์กรคาดการณ์ว่าในปี 2017 น่าจะเติบโตเกินกว่า 1-1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 50 ล้านบาท
การเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์ของ Gigamon เข้าไว้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์การรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งของเอ็กซ์คลูซีพ เน็ทเวิร์ค รองรับการนำเสนอโซลูชั่นการตรวจสอบแทรฟฟิกเครือข่ายที่ก้าวล้ำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัย และช่วยให้พันธมิตรสามารถออกแบบและนำเสนอโซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรได้อย่างเหนือชั้น
"เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เสริมสร้างความสัมพันธ์กับเอ็กซ์คลูซีพ เน็ทเวิร์ค ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขยายขอบเขตธุรกิจสู่ตัวแทนจำหน่ายรายย่อยและผู้จัดหาโซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยในเมืองไทย" แกรี่ นิวโบลด์ รองประธานฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและญี่ปุ่นของ Gigamon กล่าวเพิ่มเติมการขยายความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ให้บริการด้านบริหารจัดการโซลูชั่นของไทยสามารถนำเสนอโซลูชั่นการตรวจสอบเครือข่ายที่ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดในการตรวจสอบเครือข่ายของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ Gigamon ในการลงทุนทรัพยากรในตลาดนี้เพราะประเทศไทยได้ริเริ่มโครงการไทยแลนด์ดิจิตอล โดยมีเป้าหมายของการพัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางดิจิตอลภายในปี 2018 * รวมไปถึงโครงการสมาร์ทซิตี้ที่กำลังดำเนินการในจังหวัดภูเก็ตและเชียงใหม่ เชื่อว่าโครงการเหล่านี้จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีและการดำเนินโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งยังกระตุ้นความต้องการการปรับปรุงระบบไซเบอร์ซีเคียวริตี้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นที่จำเป็นต้องใช้ความสามารถในการหาโซลูชั่นตรวจสอบเครือข่ายที่ทำได้อย่างทั่วถึง ด้วยความร่วมมือจากเอ็กซ์คลูซีพ เน็ทเวิร์ค ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายระดับภูมิภาครายที่สองของ Gigamon เรามั่นใจว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดได้อย่างเหมาะสม "