สำหรับสถานการณ์ที่ข้าวมีราคาตกต่ำในรอบหลายปี มีผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงกับบริษัทฯ คือมูลค่าการขาย เนื่องจากราคาข้าวหอมมะลิลดลง 20-30 บาท เฉลี่ยต่อ 5 กก. ในส่วนปริมาณการขายไม่มีผลกระทบ แม้ชาวนาจะนำข้าวสารออกมาขายเองตรงถึงผู้บริโภคแต่ก็ยังมีสัดส่วนที่น้อย เพราะข้าวตราหงษ์ทองเองก็ได้จัดรายการส่งเสริมการขายต่างๆ ทั้งด้านการลดราคา หรือการแถมเพิ่มปริมาณฟรีให้กับผู้บริโภคเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการจัดรายการส่งเสริมการขายมาอย่างต่อเนื่อง จึงอยากเชิญชวนทุกคนมาร่วมซื้อข้าวจากชาวนาโดยตรง ถ้าประชากรในจังหวัดนนทบุรีมีมากกว่า 1 ล้านคน หากช่วยกันซื้อข้าว คนละ 10-20 กิโลกรัม เพียงเท่านี้เกษตรกรก็จะสามารถฝ่าวิกฤติในครั้งนี้ไปได้ และนอกจากนี้ก็ยังมีช่องทางการซื้ออื่นๆ เพื่อช่วยเหลือชาวนาอีกหลายช่องทาง เช่น การสั่งซื้อข้าวทางสื่อ Online ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งที่น่าสนใจค่ะ
มาที่ ดร.มนัส ชูผกา ผู้จัดการอาวุโสทั่วไปสายบริหารทรัพยากรมนุษย์และองค์กร บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด ได้กล่าวว่า "นอกจากการจัดงานฯ ข้างต้นแล้ว ทางบริษัทฯ ยังได้มีการจัดทำโครงการหงษ์ทองนาหยอด ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาพันธุ์ข้าวห้อมมะลิ ซึ่งได้สอดคล้องกับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้พระราชทานแก่ผู้นำกลุ่มชาวนา เมื่อวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2508 นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยลดต้นทุนในการทำนา ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้พยายามหาวิธีการตอบโจทย์ด้วยการทำนาหลายหลายวิธี จนในที่สุดได้ค้นพบว่าการทำนาหยอดแบบแห้ง เป็นวิธีการที่เหมาะสมกับการปลูกข้าวหอมมะลิในพื้นที่ภาคอีสาน เพราะช่วยลดต้นทุนการปลูกข้าวเพราะใช้เมล็ดพันธุ์น้อยเพียง 10 กิโลกรัมต่อไร่ จากเดิมในอดีตที่เกษตรกรทำนาหว่าน ต้องใช้เมล็ดพันธ์ถึง 25-35 กิโลกรัมต่อไร่ และยังต่อเสียค่ายาปราบศัตรูพืชและค่าปุ๋ยเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกษตรกรมีต้นทุนในการปลุกข้าวที่สูง นอกจากนี้การปลูกข้าวนาหยอด ยังช่วยให้เมล็ดพันธุ์มีอัตราการงอดที่ดี ข้าวไม่ถูกทำลายด้วยสัตว์และแมลง เมื่อฝนตกจะมีอัตราการงอกสูง ซึ่งนาหยอดจะใช้หลักการเดียวกับนาดำ ผลผลิตที่ได้จึงขึ้นเรียงกันเป็นเป็นแนว สามารถบริหารจัดการวัชพืชได้ง่าย มองเห็นต้นข้าวและคำนวณการให้ปุ๋ยได้ชัดเจน และต้นข้าวแตกกอได้ดีเพราะไม่แน่นจนเกินไป และปริมาณข้าวออกรวงจะสูง และมีเมล็ดที่สวยงาม