นาย วิลเลี่ยม แฮริส หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านการเงิน บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า จากการที่ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ได้เสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2559 ด้วยมูลค่าที่เสนอขายรวมทั้งสิ้น 23,000 ล้านบาท โดยเสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559 และออกหุ้นกู้ในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมานั้นบริษัทประสบความสำเร็จในการจำหน่ายเป็นอย่างดี โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนจองซื้อหุ้นกู้ทั้งหมดเต็มจำนวนที่นำเสนอขาย
หุ้นกู้ของบริษัทที่จัดจำหน่ายครั้งนี้ ประกอบด้วยหุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.5% อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.0% และอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.5% ซึ่งบริษัทมีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ทุกชุดก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ ณ วันครบรอบ 1 ปีนับแต่วันออกหุ้นกู้ หรือ ณ วันกำหนดชำระดอกเบี้ยใด ๆ ทั้งนี้หุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ "BBB+" แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 โดยการออกหุ้นกู้ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดหาเงินทุน เพื่อชำระหนี้คงค้าง และ/หรือ ขยายธุรกิจของบริษัท และบริษัทย่อย และ/หรือ บริษัทในเครือของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และการสื่อสารแบบไร้สาย รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการดำเนินการของบริษัท และ/หรือ กลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่
สำหรับกลุ่มสถาบันการเงินผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ของ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ครั้งนี้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) โดยทางกลุ่มผู้จัดจำหน่ายกล่าวว่า การออกและเสนอขายครั้งนี้ถือเป็นการจัดจำหน่ายและเสนอขายหุ้นกู้ในประเทศไทยที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB+ ที่มีมูลค่าการเสนอขายสูงที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา และเป็นการเสนอขายหุ้นกู้ที่มีอายุของหุ้นกู้ยาวที่สุดของบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และรวมถึงเครือบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น
นาย วิลเลี่ยม แฮริส กล่าวเสริมว่า บริษัทขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความสนใจในหุ้นกู้ของบริษัทเป็นอย่างมากในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทในระยะยาว รวมถึงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งบริษัทมีจำนวนคลื่นความถี่สำหรับการให้บริการมากที่สุด ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการบริหารจัดการคลื่นความถี่ทั้งหมดเพื่อตอบสนองความต้องการบริการด้านข้อมูลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว