นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ จะต้องติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างแน่นอน โดยที่ตลาดให้ความสนใจต่อถ้อยแถลงของ Fed ที่จะบ่งชี้ช้ดเจนแค่ไหนเพียงไรว่าในปี 2017 ว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกกี่ครั้ง
ด้านปัจจัยที่สอง คือ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งในเดือน มกราคม ปีหน้า และเพิ่งกล่าวตอบโต้จีนที่ประท้วงกรณีที่ทรัมป์พูดคุยอย่างเป็นทางการกับผู้นำไต้หวัน โดยกล่าวว่าสหรัฐไม่จำเป็นต้องยึดถือนโยบาย "จีนเดียว" ที่ถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนอีกต่อไป ซึ่งคำพูดดังกล่าวอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ของจีนกับสหรัฐฯ และอาจส่งผลกระทบต่อสันติภาพ ความเสถียรภาพ และเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ของภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ตลอดจน ของโลกด้วย เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม หุ้นจีนและฮ่องกงปรับตัวลงอย่างแรงส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากเรื่องดังกล่าว
ด้านปัจจัยในประเทศมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทั้งมาตรการการนำค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และมาตรการช็อปช่วยชาติ ที่จะให้นำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภค มาหักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มเติมอีก จะทำให้มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาในระบบเศรษฐกิจ 45,000-60,000 ล้านบาท นอกจากนี้ โครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการไกล้จะเริ่มต้นได้แล้วตั้งแต่ต้นปี 2017 เน้นย้ำว่าภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงกำลังจะเดินหน้าเติบโตแข็งแกร่ง และภาคเศรษฐกิจอี่นๆ จะได้รับผลโดยอ้อมเป็นอานิสงส์ในลำดับต่อๆกันไป
ทั้งนี้ สำหรับสัปดาห์นี้ คาดกรอบการเคลื่อนไหว SET Index ที่ 1,510-1,535 จุดนายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านกลยุทธ์การลงทุน มองว่าตลาดหุ้นยังคงผันผวน โดยตลาดส่วนใหญ่เชื่อว่าประธานาธิบดี ทรัมป์ ใช้ท่าทีที่แข็งกร้าวเป็นกลยุทธ์ในการเจรจาต่อรองกับจีนในด้านการค้า และอื่น ๆ โดยยังไม่น่าจะก่อให้เกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่การใช้กำลังทหารเหมือนทีท่าที่แสดงออก ด้านคำแนะนำการลงทุนในหุ้นไทย แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่จะเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป รวมถึงกลุ่มที่เกี่ยวข้องด้วย
ในสัปดาห์นี้ Trading Idea ของ บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำซื้อ KTC ของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพราะคาดว่า จะได้รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นการบริโภคในประเทศของรัฐบาล ที่จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภคภายในประเทศให้คึกคักมากขึ้น และจะสามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในที่สุด
KTC มีข้อได้เปรียบอย่างมากเนื่องจากบริษัทได้ออกแคมเปญทางการตลาดอย่างต่อเนื่องกับหลาย ๆ ร้านค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และอื่นๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นอกจากนี้ KTC ยังได้เพิ่มโปรโมชั่นในหมวดหมู่ท่องเที่ยวและสันทนาการเพื่อตอบสนองกับช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ปัจจัยเหล่านี้คาดว่าจะช่วยหนุนยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของบริษัทที่คาดว่าจะเติบโต 15% ในปีนี้
ด้านคุณภาพสินทรัพย์ของ KTC ดูน่าดึงดูดใจมากเนื่องจากอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ในไตรมาส 3/59 ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 1.9% ในขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ที่ระดับสูงถึง 445.8% ซึ่งบ่งบอกถึงคุณภาพสินทรัพย์อันแข็งแกร่งของบริษัทในการป้องกันความผันผวนทางเศรษฐกิจรวมถึงมาตรฐานทางบัญชีใหม่ๆ ในอนาคต
"เราคาดการณ์กำไรสุทธิจะเติบโต 17.2% ในปี 59 และ 17.6% ในปี 60 โดยยังมองว่าหุ้น KTC มี Valuation ที่ถูก โดยปัจจุบันเทรดอยู่ที่ P/E ประมาณ 15 เท่า โดย บล.เอเชีย เวลท์ ให้ราคาเป้าหมายสำหรับปี 2017 ที่ 170 บาท" นายวรุตม์ กล่าว