นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากการสำรวจข้อมูลของฝ่ายวิจัยของ พลัสฯ พบว่าปัจจุบันโครงการคอนโดมิเนียม Luxury (ราคาขายตั้งแต่ 200,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ยังคงมีอุปทานที่ยังคงขายอยู่ในตลาดจำนวน 22 โครงการ ส่วนใหญ่พบในโซนศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ได้แก่ โซนสุขุมวิทชั้นใน 11โครงการ (50%) โซนเพลินจิต-ชิดลม 4 โครงการ (18%) และโซนสีลม - สาทร 6 โครงการ (27%) และโซนริมแม่น้ำ อีก 1 โครงการ (4%) ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาโครงการประเภท Luxury นี้ เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันโครงการระดับกลางและระดับล่างได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว สวนทางกับโครงการระดับบนที่เติบโตได้ดีสามารถดูดซับได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับทำเลของโครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนพื้นที่ศักยภาพใจกลางเมือง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีการบริหารจัดการและดูแลรักษาที่ดี อีกทั้งยังอยู่ใกล้เคียงกับแลนด์มาร์กสำคัญๆ ในกรุงเทพ จึงทำให้อุปทานใหม่เติบโตขึ้นมาก
จากการวิเคราะห์ข้อมูล 5 ปีย้อนหลัง พบว่าราคาของโครงการประเภท Luxury มีราคาขายในปัจจุบันขยับขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 30%ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการจากผู้พัฒนารายใหญ่ ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาตลาดระดับบน นอกจากนี้หากพิจารณาในส่วนของการปรับตัวของราคาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สำหรับโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว หรือกำลังจะสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่เร็วๆ นี้ พบว่า มีโครงการที่มีราคาเปลี่ยนแปลงสูงสุด ได้แก่ เดอะ สุโขทัย เรซิเด้นท์เซส (เปลี่ยนแปลง 75%), โนเบิล เพลินจิต (67%), เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก (61%), เดอะ เทอร์ทีไนน์ (45%), 185 ราชดำริ (40%), มาร์ค สุขุมวิท (40%)
"สิ่งหนึ่งที่ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียม Luxury ได้รับการตอบรับที่ดี เพราะมีความพิเศษเฉพาะตัว ทั้งดีไซน์ที่มีความหรูหราและเป็นสากล ใช้วัสดุอุปกรณ์ระดับพรีเมี่ยม เฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์และนำเข้าจากต่างประเทศ และมีการรับประกัน รวมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการมากกว่าโครงการทั่วไป พร้อมฟังก์ชั่นพิเศษ เช่น สระว่ายน้ำ จากุชชี่ ฟิตเนสวิว 360 องศา ลานจอดรถอัตโนมัติ สกายเลาจ์ ห้องชมภาพยนตร์ โซนสัตว์เลี้ยง สนามเด็กเล่น บริการรถลีมูซีน และบางโครงการยังมีพื้นที่จอดรถที่สามารถรองรับได้เกิน 100% มีสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การแปลงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าเพื่อนำไปใช้ในพื้นที่ส่วนกลาง หรือการดึงความร้อนจากคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศไปยังระบบทำน้ำอุ่น เป็นต้น ซึ่งเป็นนวัตกรรมใส่ใจสิ่งแวดล้อมและช่วยประหยัดพลังงาน พร้อมเอาใจใส่ในการให้บริการ ซึ่งโครงการประเภท Luxury ในอนาคตจะต้องให้ความใส่ใจในสิ่งเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น โดยอุปสงค์ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่มาจับจองไว้เพื่อการอยู่อาศัย และเล็งถึงโอกาสของมูลค่าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต จากข้อมูลข้างต้นพบว่าภายใน 5 ปี ราคาขายเพิ่มขึ้นถึง 30%" นายอนุกูล กล่าวสรุป