นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวว่า "ตามที่นโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องการลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน ทางสถาบันฯ ได้ส่งเสริมให้เกิดการสร้างความรู้พื้นที่เกี่ยวกับ การปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ควบคู่ไปกับการใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) โดยเบื้องต้นได้มีนโยบายให้คณะกรรมการช่วยชีวิต ของสถาบันสุขภาพเด็กฯ จัดกิจกรรมอบรมดังกล่าวให้กับนักศึกษาแพทย์ แพทย์ และบุคคลากรในองค์กร ตลอดจนบุคคลภายนอกที่มีความสนใจ ให้ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของการทำ CPR และการใช้เครื่อง AED ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายประมาณ ๒๐๐ คน ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ทั้งนี้ สถาบันสุขภาพเด็กฯ เตรียมขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังสถาบันการศึกษา โรงเรียน เนอสเซอรี่ และหน่วยงานที่ดำเนินการเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพพลานามัยเด็กในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย อีกด้วย"
นายแพทย์วรการ พรหมพันธุ์ นายแพทย์ชำนาญการด้านกุมารเวชกรรม สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวว่า"ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหัวใจหยุดเต้นกะทันหันอาจเกิดได้กับทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เกิดได้ในทุกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือแม้แต่ในสนามเด็กเล็ก และเกิดได้ทุกเวลา ถึงแม้จะพบได้บ่อยในระหว่างออกกำลังกาย เพียงเสี้ยววินาทีที่หัวใจหยุดเต้น หรือเต้นผิดจังหวะ สมองและร่างกายจะขาดออกซิเจน จนนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่ทราบก่อนล่วงหน้า มักมีอาการเป็นลมหมดสติกะทันหัน หรืออาจเกิดอุบัติเหตุโดยไม่คาดคิดมาก่อน เช่น จมน้ำโดยที่มีทักษะการว่ายน้ำเป็นอย่างดี หรือเกิดอุบัติเหตุในระหว่างปั่นจักรยานโดยไม่มีสาเหตุอันควร เป็นต้น"
การลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหันนั้น จึงจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐาน ๒ เรื่อง ได้แก่ ความรู้พื้นฐานเรื่องปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) และการใช้ฮีโร่ใกล้ตัวอย่างเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED)
ปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) เหมือนหรือแตกต่างกับการใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) อย่างไร
ก่อนการเข้าช่วยเหลือผู้ที่หมดสติ หรือเกิดอุบัติเหตุ ต้องทำการตรวจสภาพร่างกายก่อน เริ่มต้นจากการเรียกชื่อ ว่าพอจะรู้สึกตัว หายใจได้เองหรือไม่ เพราะอาจเกิดจากสำลักอาหาร/วัตถุแปลกปลอมเข้าหลอดลม หรือมีปัญหาของระบบทางเดินหายใจ อย่างโรคหอบหืด เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจหรือหายใจเฮือก และตรวจไม่พบว่ามีชีพจร (หรือไม่แน่ใจว่ามีชีพจร) ที่บริเวณคอในผู้ใหญ่/เด็กโต หรือบริเวณขาหนีบในเด็กเล็ก ในระยะเวลา ๑๐ วินาที ต้องเริ่มทำ CPR อย่างเร่งด่วนที่สุด เพราะหากสมองขาดเลือดซึ่งนำออกซิเจนไปสู่สมองเกินกว่า ๖ นาที เยื่อในสมองอาจถูกทำลายจนนำไปสู่สภาวะสมองตายได้
เมื่อพบผู้ป่วยหมดสติ รีบตามคนมาช่วย หรือติดต่อ ๑๖๖๙ ในระหว่างนั้น ให้ผู้ช่วยเหลือทำ CPR ไปก่อน โดยเริ่มจากผู้ช่วยเหลือเหยียดแขนตรงและใช้มือสองข้างไขว้นิ้วร่วมกันกดลงไปบริเวณหน้าอกเหนือลิ้นปี่ของผู้ป่วย ให้หน้าอกยุบลงไปประมาณ ๔-๕ เซนติเมตร (หรือประมาณ ๑ ใน ๓ ของความหนาของหน้าอกผู้ป่วย) แล้วปล่อยให้หน้าอกคืนสภาพ ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆในอัตรา ๑๐๐-๑๒๐ ครั้งต่อนาที จนกว่าผู้ป่วยจะรู้สึกตัว หรือมีทีมกู้ชีพมาช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม ประมาณ ๒-๕ นาที หากผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัวหลังได้รับการทำ CPR ควรให้คนในละแวกนั้นนำเครื่อง AED เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ มาใช้ในการช่วยชีวิต โดยเมื่อเปิดสวิทซ์เครื่อง AED เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ เครื่องจะแนะนำให้ผู้ใช้งานทำตามเป็นลำดับขั้นตอน โดยเริ่มจากติดแผ่นวิเคราะห์ลงบนบริเวณหน้าอกของผู้ป่วยตามรูป โดยไม่มีเสื้อผ้า เสื้อชั้นในบดบัง จากนั้นเครื่อง AED จะตรวจสอบการเต้นของหัวใจผู้ป่วย หากเครื่องประเมินว่าสมควรได้รับการกระตุ้นหัวใจด้วยกระแสไฟฟ้า เครื่องจะบอกให้กดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้า โดยผู้ช่วยเหลือห้ามสัมผัสผู้ป่วย เมื่อกดปุ่มปล่องกระแสไฟฟ้าแล้ว เครื่องจะให้คำแนะนำในการช่วยเหลือต่อไป หากเครื่องประเมินแล้วว่าไม่จำเป็นต้องกระตุ้นหัวใจด้วยกระแสไฟฟ้า เรื่องก็จะแนะนำให้ CPR ต่อไปจนกว่าจะมีทีมกู้ชีพมาช่วยเหลือ
การทำ CPR ร่วมกับการใช้เครื่อง AED สามารถทำให้การช่วยชีวิตจะประสบผลสำเร็จมากขึ้นถึงร้อยละ ๕๐-๗๐ สูงกว่าการปั๊มหัวใจอย่างเดียวที่มีโอกาสเพียงร้อยละ ๓-๕ ระหว่างรอทีมแพทย์กู้ชีพฉุกเฉินรับไปดูแลต่อในโรงพยาบาลต่อไป ปัจจุบัน เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED)ได้รับการส่งเสริมให้เข้ามาใช้ตามสถานที่ราชการ บริษัทเอกชน โรงงาน โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา โรงแรม สถานอนามัยหรือโรงพยาบาล สนามบิน และบนเครื่องบินมากขึ้น