เอาหล่ะ...ในฐานะหมอคนหนึ่ง (ที่ไม่ได้ผิวขาว) "แล้วล่ะ...หมออยากขาวไหมคะ? "
เคยมีคนไข้ถาม...ถ้าพูดกันตรง...มันก็ไม่เชิงค่ะ หมออยากให้ผิวมีสุขภาพดีมากกว่า
ที่นี้เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า ถ้าอยากจะมีผิวขาวขึ้นเราทำอะไรกับตัวเองได้บ้าง ประการแรกเลย...หลบแดดค่ะ เพราะแดดนอกจากจะทำให้เราดำแล้ว มันยังทำให้เราแก่อีกด้วยประการต่อมาก็คือการเดินมาปรึกษาคุณหมอความงาม ถ้าอยากจะให้ขาวแต่หน้าก็ง่ายหน่อย แต่ถ้าอยากขาวทั้งตัว คงต้องภาวนะให้เป็น โรคด่างขาว (Vitiligo) เหมือนไมเคิล แจ็คสันกันละ
อย่างไรก็ตามหลักการจะทำให้ขาวไม่ว่าจะหน้าหรือตัวก็เหมือนกันค่ะ คุณอาจจะได้รับคำแนะนำให้ทำอะไรต่อมิอะไรต่างๆ ดังนี้ค่ะ
1. Skin bleeching ในที่นี้จะเป็น Chemical peel ค่ะ คือการใช้สารเคมีกันผิว ต้องทำภายใต้การควบคุมของแพทย์ที่ชำนาญมากๆ เพราะต้องควบคุมไม่ให้ผิวถูกกัดลึกกว่าชั้นหนังแท้ส่วนบนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะเป็นแผลเป็น ซึ่งกรรมวิธีนี้จะไม่แนะนำในผู้ที่มีผิวเข้มอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Skin type 4 ขึ้นไป ก็คือผิวคล้ำหรือสองสีอย่างบ้านเรานี่ละคะ รวมทั้งนิโกรด้วย แต่ในฝรั่งผิวขาว สมัยก่อนจะแนะนำให้ทำ เพราะนอกจากขาวขึ้นแล้วยังลดริ้วรอยด้วย
2. การใช้ Laser rejuvenation ให้ผิวขาวใส ในปัจจุบันวิวัฒนาการของ laser ที่นำมาใช้กับผิวหนังพัฒนาไปมาก เครื่องรุ่นใหม่ๆ มีความจำเพาะมากขึ้น ไม่ทำให้ผิวหนังเกิดแผล (non-ablative) จึงใช้ในคนผิวเข้มได้มากขึ้น เจ้า Laser นี่มีมากมายหลากหลายชนิด ก่อนเข้ารับบริการต้องรับฟังข้อมูลจากหมอให้มากก่อนตัดสินใจนะคะ และค่าบริการจะค่อนข้างแพง เพราะราคาของมันแต่ละเครื่องนี่แพงหูฉี่เลย บางเครื่องราคากว่าสิบล้านทีเดียวค่ะ
3. อันนี้กำลังฮิตสุด การฉีดสารต่างๆ เข้าร่างกาย
การฉีด...ช่วยให้ขาวได้ จริงหรือไม่?
1. Gluthathione
จริงแล้วเจ้าตัวนี้มีอยู่แล้วในร่างกายเราเอง เป็นสาร anti-oxident ซึ่งมีความสำคัญในการกำจัดพิษในร่างกาย มีมากที่ตับ (liver) เริ่มแรกมีคนทดลองเอามาฉีดชะลอแก่ แต่ดันเห็นผลว่าขาว เรื่องก็เป็นประการฉะนี้ค่ะ
ถาม : การฉีดจะมีอันตรายไหม?
ตอบ : ไม่เป็นอันตรายค่ะ เพราะอย่างที่อธิบายเบื้องต้น ว่ามันไม่เกิดมาเพื่อทำให้ขาว ยาถูกสร้างมาเพื่อรักษาโรค แต่เนื่องจากเรายังไม่รู้ผลกระทบต่อร่างกายในกรณีที่ฉีดมากๆในคราวเดียวหรือการฉีดที่ถี่เกินไป เนื่องจากตัวยานี้ยังไม่ได้มีการทำวิจัยในระยะที่ยาวมากพอ (คือมากกว่า 10 ปี)
ถาม : ผ่าน อย. (องค์การอาหารและยา หรือ ที่ต่างประเทศเรียก FDA) ในประเทศไทยหรือไม่?
ตอบ : ในความเป็นจริงยาเหล่านี้ไม่ผ่าน อย.บ้านเรา และ อย.ประเทศอื่นด้วย เช่น USA และ ญี่ปุ่น แต่ผ่าน อย.ในยุโรปบางประเทศ
2. Vitamin C
เป็นวิตามินตัวหนึ่ง มีคุณสมบัติละลายน้ำ จึงขับออกทิ้งทางไต ตัวมันเป็น anti-oxident เช่นกัน และช่วยให้ collagen แข็งแรง รวมทั้งกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ดังนั้นผลของมันก็จะเหมือน Gluthathione ค่ะ บางครั้งเราอาจจะเห็นว่ามีการฉีดในปริมาณมาก หรือที่เรียกว่า Megadose ในคนไข้มะเร็ง เพื่อเป็นการแพทย์เสริม (Alternative Medicine)
ถาม : ต้องฉีดมากแค่ไหน? ต้องระวังอะไรบ้าง?
ตอบ : ในการฉีดเพื่อการนี้ ไม่ควรเกิน 5 grams ค่ะ เพราะตัววิตามัน C เป็นกรด ถ้าเราให้ปริมาณมากๆ จะทำให้เลือดเราเป็นกรดได้ และควรเจือจางด้วยสารละลายอื่น จะทำให้ฉีดแล้วไม่เจ็บเส้นเลือด
จริงๆ แล้ว Anti-Oxidant บนโลกของเรายังมีอีกมากมายหลายตัว แต่บางตัวก็ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ ถ้านำมาใช้เดี่ยวๆ จึงมักนิยมนำมา add เข้ากับตัวหลักๆ เพื่อให้ออกฤทธิ์ร่วมกัน (synergistic)
3. Stem cell
คือ เซลล์ต้นกำเนิด เราเชื่อว่าในร่างกายเรามีเซลล์ที่สามารถแปลงไปเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งเราเรียกมันว่าเซลล์ต้นกำเนิด มีสองชนิด คือ
1) Embryonic stem cell ได้จากตัวอ่อน ไม่ว่าจะจากสัตว์ หรือ มนุษย์ก็ได้ แต่จากมนุษย์ ยังไม่ได้รับการยอมรับค่ะ เพราะมันดูเหมือนจะผิดหลักจริยธรรม แต่จริงๆ แล้วก็มีการทดลองแล้วในหลายๆ ประเทศ
2) Adult stem cell (ADSC) เป็น stem cell ที่มีในของตัวเราเองค่ะ จะลดน้อยลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น โดยจะมีมากที่สุดในไขกระดูก คงพอคุ้นเคยกับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้กับคนไข้มะเร็งเม็ดเลือดขาวกันมาบ้าง ในอวัยวะอื่นๆ ก็มีค่ะ ตอนนี้ทางเรื่องของความงาม กำลังสนใจ ADSC จาก เซลล์ไขมัน (Fat cell) ไขกระดูก (Bone Marrow) และรากฟัน
ที่นี้เรามาดูโปรดักที่มีขายตามท้องตลาด ที่พูดว่าเป็น Stem Cell ต่างๆ มีทั้งสกัดจาก พืช เช่น แอปเปิ้ล, สัตว์ เช่น แกะ และ รกเด็ก (Humen Placenta) บอกได้เลยนะคะว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่ stem cell ที่เป็น live cell หรือเซล์สดๆ เป็นๆ ที่ยังมีชีวิตจริงๆ หรอก ความจริงแล้วเป็น Stem Cell Extract คือเรานำเซลล์สดมาสกัดสารเคมีในเซลล์มาใช้ เราหวังผลจากสารเคมี (cytokine) ในเซลล์อ่อนเหล่านี้ ให้ช่วยส่งสัญญานบางอย่างให้กับเซลล์ของเรา (เมื่ออายุเราเพิ่ม สารเคมีเหล่านี้จะลดลง หรือหายไป) ก็จะทำให้ร่างกายเราดูอ่อนวัยขึ้นได้ ทำให้ขาวใสตามมานั่นแหละ
ส่วนในกรณี Stem Cell แบบ Live Cell หรือเซลล์สดที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ถ้าเป็นเซลล์ที่ยังไม่ตาย การที่จะนำมาสู่มือเราได้นั้น ต้องเก็บรักษาภายใต้อุณหภูมิติดลบ ต้องมีการนัดเวลาฉีดกันเลยล่ะ ดังนั้นสมัยก่อนก็ต้องบินไปฉีดกันถึงเมืองนอก แต่ปัจจุบันบ้านเราเองก็มีห้อง lab ที่สามารถทำได้เองแล้ว รวมทั้งการคมนาคมที่ดีขึ้น ทำให้เราสามารถเลือกที่จะทำที่เมืองไทยหรือที่เมืองนอกก็ได้ แต่แน่นอนว่าราคาก็ยังคงค่อนข้างสูง
จะเห็นว่าการฉีดสารใดๆ เข้าไปในร่างกายจริงๆ แล้วจุดประสงค์คือการชะลอหรือลดความเสื่อมสภาพที่เกิดตามอายุ หรือความเสื่อมที่เกิดจากการที่ร่างกายถูกทำร้ายมากกว่าปกติ เช่น การออกแดด การดื่มสุรา หรือการอดนอน เพราะถ้าเราสังเกตุจะเห็นว่าสภาพการณ์ต่างๆ ที่พูดเหล่านี้ ล้วนแต่แสดงออกสู่ผิวพรรณเป็นอย่างแรก เมื่อสุขภาพดีผิวพรรณก็สดใสไม่หมองคล้ำ จึงอยากจะเตือนว่าการฉีดสารเหล่านี้ ไม่มีทางจะเปลี่ยนให้คนผิวคล้ำกลายมาเป็นผิวขาวได้ถาวร ทำได้แค่เพียงให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้นเท่านั้น เราไม่สามารถหยุดอายุได้ หรือหากเรายังมีพฤติกรรมที่มีทำให้ร่างกายเกิดการเสื่อมสภาพได้มากกว่าปกติ ดังนั้นการฉีดสารเหล่านี้ จริงต้องมีการฉีดเพื่อคงสภาพเป็นระยะๆ
เรื่องราวของการฉีดสารเหล่านี้ ออกจะเป็นเรื่องราวส่วนบุคคลที่ต้องพิจารณานะคะ เพราะศาสตร์เหล่านี้ถึงแม้จะมีการทดลองและเก็บสถิติ แต่ก็ไม่ได้มีการทดลองที่ใหญ่หรือมากพอแบบยารักษาโรคที่เป็นแบบแผนหลักค่ะ
จริงอยู่...ภาพลักษณ์ภายนอกนำมาซึ่งความสำเร็จก็จริง แต่มันจะคุ้มหรือไม่...ที่เราต้องดิ้นรนไขว่คว้า ไล่ล่า วิ่งตาม อย่างเหน็ดเหนื่อย ไร้ซึ่งความพอใจแห่งตน ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เรียกว่า...ความงามภายนอกกาย ที่ไม่ได้มีความยั่งยืนจีรัง...เพียงแค่เราพอใจในตัวเองหรือมีจุดยืน เราก็จะมีจุดที่เราพอใจในตัวเองได้ไม่ยาก
การสร้างคุณค่าจากภายใน เพียงเท่านี้...คุณก็จะมีความงดงามไม่มีที่สุด
"ความงดงาม...อยู่ที่หัวใจ"
แต่สำหรับเราๆ ท่านๆ ที่ยังวนเวียนอยู่กับวัฏจักรของโลก
ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีหน้าตา รูปต่างที่ดูดี
เป็นสิ่งที่ยังต้องทำ เพื่อการเข้าสังคมละก็
คุณพร้อมหรือยังคะ...