นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า "โครงการสมาคมธนาคารไทยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ" เป็นความร่วมมือระหว่างสมาคมธนาคารไทย สภากาชาดไทย และมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมครั้งแรกซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากภาครัฐทั้งกระทรวงแรงงาน และกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้มีงานทำ และได้ทำงานในชุมชนที่อาศัยอยู่ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
"สมาชิกของสมาคมธนาคารไทยซึ่งประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์ 14 สถาบัน ส่วนใหญ่ปฏิบัติตาม มาตรา 34 ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 ด้วยการส่งเงินสมทบกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นจำนวน 109;500 บาท/คน/ปี เนื่องจากติดข้อจำกัดที่ไม่สามารถจ้างงานคนพิการในอัตราร้อยละ 1 ของจำนวนพนักงานขององค์กร ตามข้อกำหนดในมาตรา 33 ได้ ด้วยสาเหตุบางประการ เช่น จัดหาคนพิการในพื้นที่มาทำงานตรงตามพื้นที่นั้นๆ ไม่ได้ และบางครั้งตำแหน่งงานไม่เหมาะกับคุณสมบัติของคนพิการ ส่งผลให้ยอดสะสมในกองทุนฯ เพิ่มขึ้นทุกปี ทางสมาคมฯ จึงมองหาความเป็นไปได้ที่จะนำเงินซึ่งใช้สมทบทุกๆ ปี มาสร้างประโยชน์ให้กับคนพิการโดยตรง ด้วยการสร้างโอกาส งานและอาชีพ ที่เหมาะสมกับความสามารถ ซึ่งมาตรา 35 เปิดโอกาสให้มีการจัดจ้างเหมางานให้คนพิการไปทำงานในสถานประกอบการอื่นได้โดยรวมถึงองค์กร สาธารณกุศลเพื่อสังคม ประกอบกับสมาคมฯ ได้พันธมิตรอย่างสภากาชาดไทยกับมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมเข้าร่วมแสดงความจำนงครั้งนี้อย่างลงตัว ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 14 สถาบันภายใต้สมาคมธนาคารไทยลงมติเป็นทิศทางเดียวกันที่จะสนับสนุนการจ้างงานและสร้างอาชีพแก่คนพิการประมาณ 900 คน เพื่อให้คนพิการได้ทำงานตรงตามความถนัด และสามารถเลี้ยงดูตนเองได้และยังสามารถทำงานในหน่วยงานที่สร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย" นายปรีดีกล่าว
ด้าน คุณหญิงชฏา วัฒนศิริธรรม เหรัญญิก สภากาชาดไทย กล่าวว่า สภากาชาดไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีส่วนร่วมในโครงการนี้ โดยมุ่งหวังว่าการเปิดโอกาสให้คนพิการเข้ามาทำงานกับสภากาชาดไทยซึ่งเป็นองค์กรที่มีเกียรติ มีชื่อเสียง และเป็นองค์กรที่ทำคุณประโยชน์เพื่อสังคม จะเสริมสร้างความภูมิใจ และการมีส่วนร่วมในสังคมให้กับคนพิการ โดยจำนวนคนพิการที่สภากาชาดไทยจะรับเข้าทำงานตามโครงการนี้มีทั้งสิ้น 676 คน (จากจำนวนประมาณ 900 คน) โดยจะเข้าไปช่วยทำงานในสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัด 76 แห่งในทุกจังหวัด และกิ่งกาชาดอำเภออีก 240 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ของสภากาชาดไทยซึ่งจัดสรรไปตามภูมิลำเนาของผู้พิการ
นายพระนาย สุวรรณรัฐ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด สภากาชาดไทย กล่าวว่า การทำประโยชน์เพื่อคนพิการถือเป็นพันธกิจของสภากาชาดไทยประการหนึ่ง โดยในส่วนของการทำงานกับโครงการฯ สภากาชาดไทยได้ร่วมศึกษาและออกแบบโครงการจ้างเหมางานคนพิการกับมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ตลอดจนกำหนดคุณสมบัติ เสาะหา และคัดเลือกคนพิการที่เหมาะสม จัดสรรตำแหน่งงาน รวมถึงจัดหาวิทยากรและการอบรมที่จำเป็นให้ด้วย อาทิ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐาน ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ และเสริมสร้างทัศนคติเพื่อให้การทำงานในสำนักงานของคนพิการเป็นไปอย่างราบรื่น
นายอภิชาติ การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม กล่าวว่า ในส่วนของคนพิการที่ไม่ได้ทำงานกับสภากาชาดไทย มูลนิธินวัตกรรมทางสังคมได้ประสานไปยังหน่วยงานต่างๆ ในเครือข่าย อาทิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในจังหวัดต่างๆ นอกเหนือจากนี้ยังมีการส่งเสริมอาชีพอิสระด้วย นับเป็นขวัญและกำลังใจสำคัญที่ทำให้คนพิการรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำงาน สามารถพึ่งพาตัวเองได้ อีกทั้งยังคงได้รับการพัฒนาทักษะด้านอาชีพเพื่อตรงตามความต้องการในสายอาชีพนั้นๆ ต่อไปด้วย
"โครงการสมาคมธนาคารไทยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ นับเป็นปรากฏการณ์การจ้างงานคนพิการจากกลุ่มธุรกิจเดียว ที่มีจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมานับแต่พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้และยังเป็นการรับคนพิการเข้าทำงานในหน่วยงานสาธารณประโยชน์ในประเทศไทย และหน่วยงานกาชาดทั่วโลกที่มีจำนวนมากที่สุดในครั้งเดียวด้วย นอกจากนี้รูปแบบความร่วมมือดังกล่าวยังเป็นการสร้างตัวอย่างความร่วมมือในการจ้างเหมางานคนพิการตามมาตรา 35 ที่ภาคธุรกิจและหน่วยงานอื่นๆ สามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบได้ ซึ่งตอนนี้การส่งเสริมคนพิการให้มีอาชีพ มีงานทำได้ถูกยกระดับไปเป็นเป้าหมายของคณะทำงานประชารัฐเพื่อสังคม ส่งผลให้มีการขยายเวลาดำเนินงานตามมาตรา 35 ไปจนถึง 31 มี.ค. 2560 นับเป็นข่าวดีที่หน่วยงานเอกชนต่างๆ ที่ยังส่งเงินเข้ากองทุน ได้มีทางเลือกในการจ้างงานและสนับสนุนอาชีพคนพิการ โดยหน่วยงานที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม" นายอภิชาติ กล่าว