ยูบีเอสเผยรายงานการคาดการณ์เศรษฐกิจในเอเชียปี 2560 ประเทศไทยชะลอตัวแต่จะดีอีกครั้งปี 2561 จากการปรับงบดุล

จันทร์ ๒๓ มกราคม ๒๐๑๗ ๑๒:๓๓
บริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส เอเชีย จำกัด (UBS Securities Asia Limited) สถาบันการเงิน การบริหารความมั่งคั่ง และการบริหารจัดการสินทรัพย์ระดับโลกจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ได้จัดทำรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจเอเชียในปี พ.ศ. 2560 ระบุทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้อาจชะลอตัวเนื่องจากแรงกระตุ้นเชิงบวกที่ลดลงซึ่งสอดคล้องกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค แต่เศรษฐกิจจะสามารถกลับมาดีขึ้นได้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2561 โดยการปรับงบดุล

เศรษฐกิจในประเทศไทย

ยูบีเอสระบุว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศไทยปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 2.5 ซึ่งโดยรวมแล้วต่ำกว่าการคาดการณ์อื่นๆ เนื่องจากแรงกระตุ้นเชิงบวกที่กำลังจะสิ้นสุดลงและวงจรสินเชื่อในช่วงขาลง (Credit cycle) และจากการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งสืบเนื่องมาจากการขยายตัวของสินเชื่อในช่วงปี พ.ศ. 2553 - 2557 ทั้งหมดนี้ไแสดงถึงการจัดสรรเงินทุนที่ผิดพลาดและความจำเป็นที่จะต้องปรับงบดุล แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวก็น่าจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะหากงบดุลได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้รายได้มวลรวมประชาชาติของปีหน้า (2561) ปรับตัวขึ้นถึงราวร้อยละ 3 ก็เป็นได้

ยูบีเอสมีความเห็นว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายการคลังส่งผลให้ไม่สามารถคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจของไทยได้อย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นไปได้ที่จะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐที่รอคอยมาอย่างยาวนาน ในช่วงของรัฐบาลทหารก่อนจะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการเลือกตั้งยังอาจส่งผลให้เอกชนชะลอการลงทุน ทั้งนี้จากการประเมินของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ระบุว่าผลจากแรงกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2558 จนถึงช่วงต้นปี พ.ศ. 2559 จะหมดไปในปีนี้และปีหน้า ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นและถูกใช้ในการประเมินภาพเศรษฐกิจในครั้งนี้

สำหรับในส่วนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด ซึ่งจากการคาดการณ์เศรษฐกิจไทย ยูบีเอสเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยสำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะถูกปรับลงในช่วงต้นปีนี้ จากอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่น่าพอใจนัก อย่างไรก็ตามธนาคารแห่งประเทศไทยดูจะไม่มีแนวโน้มในการผ่อนปรนนโยบายลงเลยเพราะความกังวลในเสถียรภาพทางการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของไทยที่อาจจะใกล้ถึงจุดต่ำสุดเช่นเดียวกับอีกหลายๆ ประเทศในภูมิภาคนี้ แต่อย่างไรก็ตามยูบีเอสคาดว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นในปี 2561

ทั้งนี้หากว่าดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำและมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ย่อมเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนของภาคเอกชน และอาจจะทำให้การส่งออกฟื้นตัวกลับมาเติบโตใกล้เคียงเลขสองหลักมากขึ้น (ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์ที่ใช้ในการประเมินครั้งนี้) อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากหนี้เสียที่ส่งสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการแก้ไขงบดุลแล้ว ธุรกิจของภาคเอกชนอาจจะเลือกชะลอการลงทุนจนกว่าการเมืองจะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน ภาคเกษตรกรรมซึ่งคิดเป็นร้อยละ 9 ของจีดีพี และร้อยละ 35-40 ของการจ้างงานทั้งหมด ถูกมองว่าจะเป็นปัจจัยบวกในการเติบโตทางเศรษฐกิจของปีนี้หลังจากที่หดตัวลงร้อยละ 4 ในปี พ.ศ. 2558 จากสภาวะอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย โดยปัจจัยดังกล่าวอาจช่วยการบริโภคให้เพิ่มสูงขึ้นแต่ก็ยังไม่มากนักเมื่อเทียบตามสัดส่วนที่ภาคเกษตรกรรมมีผลต่อจีดีพี นอกจากนี้การบริโภคอาจเพิ่มขึ้นจากการหมดภาระชำระหนี้จากโครงการรถคันแรกเมื่อปี พ.ศ. 2555 ก็เป็นได้เช่นกัน แม้ว่าการปล่อยสินเชื่อใหม่และความต้องการก่อหนี้อาจจะลดลงจากระดับหนี้ครัวเรือนที่โดยทั่วไปยังคงสูงอยู่อย่างต่อเนื่อง

ในทางกลับกันแม้ว่าการท่องเที่ยวอาจลดบทบาทในการกระตุ้นการบริโภคลงอันเนื่องมาจากระเบียบข้อบังคับที่เข้มงวดขึ้นต่อนักท่องเที่ยวชาวจีน อย่างไรก็ตามทั้งการท่องเที่ยว การลงทุนของภาคเอกชนที่ลดลง รวมไปถึงการขยายตัวของสินเชื่อที่ไม่สูงมาก จะยังคงรักษาการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่สูงขึ้นไว้ได้ ขณะเดียวกันผลการเลือกตั้งสหรัฐยังทำให้ไทยลดความเสียเปรียบในการแข่งขันจากการที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก(TPP) แม้ว่านโยบายของสหรัฐจะยังคงส่งผลกระทบต่อการค้ากับไทยก็ตาม ยูบีเอสคาดว่าการเกินดุลครั้งนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 5-10 ของจีดีพีในปีนี้และปีหน้าแม้จะอยู่ท่ามกลางราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม จึงเป็นผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวนน้อยกว่าค่าเงินอื่นๆ ในภูมิภาค แต่ถึงอย่างนั้นก็อาจจะเพิ่มแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนปรนนโยบายทางการเงินใหม่อีกครั้งก็เป็นได้

เศรษฐกิจในเอเชีย แปซิฟิก

สำหรับเอเชีย แปซิฟิก ยูบีเอสคาดว่าจีดีพีของเอเชียไม่รวมประเทศญี่ปุ่น จะเติบโตต่ำลงอยู่ที่ ร้อยละ 5.9 ในปีนี้ (2560) และ 5.8ในปีหน้า (2561) เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศยังคงมีแนวโน้มจะซบเซาเช่นเดิม ซึ่งเป็นผลจากปริมาณหนี้ของภาคเอกชนภายในภูมิภาคที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา และกลายเป็นภูมิภาคที่มีหนี้ภาคเอกชนสูงที่สุดในโลกหลังใช้วิธีการก่อหนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงการส่งออกซบเซา และมีเพียงประเทศอินเดียเท่านั้นที่ถูกมองว่าจะเติบโตด้วยอัตราที่สูงกว่าการเติบโตโดยรวมของภูมิภาค นอกจากนี้มูลค่า

การส่งออกในรูปแบบมูลค่าดอลลาร์สหรัฐนั้นก็อาจจะเพิ่มสูงขึ้นราวร้อยละ 5 ในปีนี้ จากที่หดตัวในช่วงสองปีที่ผ่านมา จากการที่ภาวะหนี้ของภาคเอกชนที่สูงขึ้นทั่วโลก ทำให้การบริโภคยังคงอยู่ในภาวะซบเซา รวมไปถึงมูลค่าการ

ส่งออกในรูปแบบดอลลาร์สหรัฐที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากการประเมินราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นถึง 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือสูงขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่คาดว่าจะสูงขึ้นจะส่งผลให้มีแนวโน้มเกิดภาวะเงินเฟ้อในภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น) เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554

ในขณะเดียวกัน นโยบายการคลังของเอเชียก็มีลักษณะเป็นนโยบายเชิงรับมากกว่าเชิงรุก หนี้ภาครัฐของประเทศในแถบนี้ (ไม่นับรวมญี่ปุ่น) อยู่ในระดับต่ำและขาดดุลทางการคลังเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นโยบายปัจจุบันของประเทศเหล่านี้ไม่เน้นการเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย โดยรัฐบาลส่วนใหญ่ประกาศแผนงบประมาณในช่วง 2 ปี โดยไม่กระตือรือร้นที่จะกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยเพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ

สำหรับปัจจัยบวกที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจเอเชียนั้นมาจากความร่วมมือเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลังซึ่งน่าจะเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งการชนะการเลือกตั้งของทรัมป์อาจทำให้ปัจจัยนี้มีความเป็นไปได้สูงเพราะจากการดำเนินนโยบายของพรรครีพับลิกันในอดีต พรรคมีแนวโน้มที่จะลดภาษีโดยไม่ลดการใช้จ่าย ซึ่งถ้าเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตอย่างรวดเร็วขึ้นมา ก็อาจจะทำให้ประเทศอื่นๆ คล้อยตามการใช้นโยบายแบบเดียวกันทั่วโลก แม้จะมีความเสี่ยงสูงในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและการเกิดภาวะเงินเฟ้อก็ตาม รวมไปถึงปัจจัยบวกที่อาจมาจากนโยบายทางเศรษฐกิจของผู้นำคนใหม่ของจีนด้วยเช่นกัน ในขณะที่ปัจจัยลบนอกเอเชียน่าจะมาจากการที่เหล่าผู้นำแนว ประชานิยมได้รับการเลือกตั้งซึ่งจะทำให้มีการนำมาตรการกีดกันทางการค้ามาใช้มากขึ้น ในส่วนปัจจัยลบภายในเอเชียน่าจะมาจากการซบเซาของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นหรือความต้องการซื้อเปลี่ยนแปลงไป จนอาจกลายเป็นความท้าทายของรัฐบาลจีนในการรับมือต่อสถานการณ์ดังกล่าว

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ