ธนาคารกสิกรไทยมอบหมายให้นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ดูแล 3 สายงานธุรกิจ ทั้งสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัท สายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ และสายงานธุรกิจลูกค้าบุคคลและเครือข่ายการให้บริการ ร่วมกับ 3 รองกรรมการผู้จัดการ เพื่อให้บริการลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ตรงตามความต้องการ เชื่อมโยงการให้บริการลูกค้าธุรกิจและลูกค้าบุคคลทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่ประทับใจยิ่งขึ้น
นายสุวัฒน์ เตชะวัฒนวรรณา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัทซึ่งดูแลลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ เติบโตกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดย ณ สิ้นปี 2559 มียอดสินเชื่อรวม 511,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9%มีรายได้รวม 21,400 ล้านบาท เพิ่ม 7% จากปีก่อนหน้า สำหรับในปี 2560 ตั้งเป้าหมายยอดสินเชื่อเติบโต 4-6% และรายได้เติบโต 1-2% โดยอุตสาหกรรมที่น่าจะเติบโตได้ดี ได้แก่ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ก่อสร้าง บริการสุขภาพ และยานยนต์
ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทยมองว่าลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ควรเตรียมความพร้อมที่สำคัญ คือ การระดมทุนผ่านตลาดทุนเพื่อเพิ่มโอกาสใหม่ ๆ การจัดสรรเงินลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ที่จะเอื้อต่อการบริหารจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพและสร้างโอกาสทางการตลาดเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น โดยในปี 2560 สายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัทยังคงมุ่งมั่นเป็นผู้ให้บริการหลัก (Main Bank)เพื่อตอบทุกโจทย์ธุรกิจขนาดใหญ่ผ่าน 2 กลยุทธ์หลัก คือ การเป็นธนาคารที่ให้บริการด้านแหล่งทุนที่ดีที่สุด ด้วยการระดมทุนที่หลากหลาย และเป็นผู้ให้บริการด้านธุรกรรมการเงินที่ดีที่สุด เพื่อเชื่อมโยงช่องทางการรับและจ่ายเงินของลูกค้าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการแข่งขันให้กับลูกค้าและในห่วงโซ่ธุรกิจ (Value Chain) ของลูกค้า รองรับการทำธุรกรรมจำนวนมากได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งสกุลเงินกลุ่ม AEC+3 และสกุลเงินหลักทั่วโลก
ด้านนายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่าในปี 2559 สายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการมียอดสินเชื่อรวม 657,000 ล้านบาท เติบโต 6% มีรายได้รวมอยู่ที่ 43,100 ล้านบาท เติบโตกว่า 1% โดยธนาคารกสิกรไทยยังคงครองความเป็นอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อเอสเอ็มอีอยู่ที่ 28% สำหรับปี 2560 ตั้งเป้ายอดสินเชื่อขยายตัว 4-6% รายได้เติบโต2-3% โดยธนาคารมองว่ากลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีแนวโน้มเติบโตดีในปีนี้ ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจท่องเที่ยวบริการด้านสุขภาพ และธุรกิจออนไลน์
ในปีที่ผ่านมาธนาคารยังคงมุ่งเน้นการดูแลลูกค้าในทุกห่วงโซ่ธุรกิจ (Value Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ การบริโภค อุตสาหกรรมหนัก และโครงสร้างพื้นฐาน/พลังงาน ให้ได้รับเงินทุน ทั้งเงินกู้ระยะยาวและเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งการสนับสนุนตลอดห่วงโซ่ธุรกิจและการบริหารเงินทั้งขารับและขาจ่ายในห่วงโซ่นั้นๆ จะทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
สำหรับปี 2560 ธนาคารต้องการตอกย้ำความเป็นอันดับ 1 ทั้งในด้านตลาดสินเชื่อและเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุด ด้วยการมุ่งมั่นดูแลลูกค้าในทุกเรื่องธุรกิจ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก คือ
การตอบโจทย์ลูกค้าเอสเอ็มอีแบบครบวงจรในทุกมิติ ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบสนองลูกค้าเฉพาะกลุ่มรวมถึงกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ และยังคงมุ่งเน้นการดูแลลูกค้าในรูปแบบห่วงโซ่ธุรกิจ พร้อมทั้งสนับสนุนลูกค้าในด้านองค์ความรู้ นำเสนอเครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่ช่วยบริหารจัดการธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอีมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือการสร้างเครือข่ายคู่ค้าเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าเอสเอ็มอีต่อยอดธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มได้
การพัฒนานวัตกรรมการเงินดิจิทัลแบงกิ้ง เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าทำธุรกิจได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เช่น การรับจ่ายเงิน การค้าระหว่างประเทศ และบริการหนังสือค้ำประกันผ่านช่องทางดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจออนไลน์ และการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานด้วยการนำเทคโนโลยี มาปรับปรุงกระบวนการทำงานของพนักงานให้มีประสิทธิภาพและลดต้นทุน รวมถึงสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า
นางนพวรรณ เจิมหรรษา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่าผลการดำเนินงานด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อยธนาคารกสิกรไทยในปี 2559 ยังเป็นไปตามที่คาดการณ์และทำได้ในระดับเดียวกันกับภาพรวมของตลาดมียอดสินเชื่อลูกค้ารายย่อย374,000 ล้านบาทเติบโต 2% รายได้ค่าธรรมเนียม 31,000 ล้านบาทเติบโตกว่า 1% สำหรับในปี 2560 ธุรกิจลูกค้ารายย่อยยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อทำให้ลูกค้า "ประทับใจยิ่งกว่าเดิม" และเป็นธนาคารที่ลูกค้าใช้เป็นหลักโดยมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการของธนาคารที่ทันสมัย รวมถึงขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อพร้อมบริการในทุกเรื่องการเงินในทุกเวลาที่ลูกค้าต้องการในทุกที่ที่ลูกค้าไปใน 4 ด้าน คือ
ดิจิทัลแบงกิ้ง เน้นการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ บนแพลทฟอร์มโมบายแบงกิ้งให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมการเงินด้วยตัวเองทุกที่ทุกเวลาบน K-Mobile Banking PLUS โดยในปีนี้ฟีเจอร์ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว คือการออกบัตรเดบิตได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องไปสาขา
ระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ (New Payment) ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจรับชำระเงินด้วยการเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกที่ร่วมมือกับ Alipay และ WeChat พันธมิตรระดับโลกให้ร้านค้าสามารถรับชำระค่าสินค้าและบริการจากลูกค้าชาวจีนที่มาท่องเที่ยวไทย ซึ่งขณะนี้เปิดให้บริการ Alipay แล้วในธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล โรบินสัน และแบรนด์ร้านค้าที่เข้าร่วมภายใต้กลุ่มธุรกิจเซ็นทรัลคลับ 21 กลุ่มจัสปาล ส่วน WeChat สามารถใช้บริการได้ที่คิง เพาเวอร์ โดยในปี 2560 จะเพิ่มการให้บริการในอีกหลายบริการ
เค-เซอร์วิส (K-Service) สร้างเครือข่ายการให้บริการรับชำระบิลผ่านเคาน์เตอร์พันธมิตรของธนาคารโดยในเดือน ก.พ.นี้ ลูกค้าจะสามารถจ่ายบิลได้ที่สาขาของเจมาร์ท (Jaymart) ทั่วประเทศและกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการกับพันธมิตรรายอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
การเป็นที่ปรึกษา (Advisory) ยกระดับคุณภาพการเป็นที่ปรึกษาเพิ่มช่องทางการให้คำปรึกษาของ K-Expert ให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น รวมถึงยกระดับคุณภาพการบริการผ่านสาขาเทียบเท่ามาตรฐานโลก
ทั้งนี้ธนาคารกสิกรไทยได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตฐานลูกค้าบุคคลในปี 2560 เป็น 14.1 ล้านรายหรือเติบโต 5-6% เพิ่มลูกค้า Mobile Banking Application เป็น 7.1 ล้านราย รักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ดิจิทัลแบงกิ้งอย่างต่อเนื่อง