นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า ในปี 2560 ถึงปี 2561 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละโครงการล้วนมีโอกาสทางธุรกิจเพราะเราพยายามเติมเต็มความต้องการของตลาดในทุกกลุ่มอย่างเหมาะสม โดยในปีนี้ได้วางแผนพัฒนาโครงการใหม่รวม 5 โครงการ มูลค่ารวม 5,475 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้าน 4 โครงการ มูลค่ารวม 2,475 ล้านบาท ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร และที่ถือเป็นบทสะท้อนแนวคิดใหม่ของการพัฒนาโครงการคือการนำที่ดินดั้งเดิมของบริษัทฯ ที่อยู่บริเวณรอบสนามกอล์ฟย่านปทุมธานี มาพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวที่จับกลุ่มตลาดระดับกลางและไฮเอนด์ พร้อมปรับโฉมคลับเฮ้าส์เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันของกลุ่มลูกค้าในทำเลดังกล่าว ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าภาพรวมของโครงการให้มีศักยภาพสูงยิ่งขึ้น และจะกลายเป็นไลฟ์สไตล์ฮับใหม่ของย่านปทุมธานี นอกจากนี้ ยังถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายครั้งใหม่กับการพัฒนาที่ดินย่านสุขุมวิทให้กลายเป็นโครงการอพาร์ทเมนต์และคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยม จำนวน 5 อาคาร มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท โดยจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ของปีนี้
ทั้งนี้ แผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทในเครือนั้น นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า "สำหรับบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เป็นผู้พัฒนาและบริหารโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน คลังสินค้าและโรงงานเพื่อเช่า ประกอบด้วยพื้นที่ประกอบการอุตสาหกรรมและเขตปลอดอากรย่านบางนา บางพลี สมุทรปราการนั้น ถือว่ามีการเติบโตอย่างมากในปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีการพัฒนาพื้นที่ปล่อยเช่ารวม 115,000 ตารางเมตร และจะพัฒนาต่อเนื่องในปีนี้เพิ่มเติมอีก 40,000 ตารางเมตร และในส่วนของบริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด ที่ให้บริการด้านการบริหารจัดการอาคารและที่พักอาศัยนั้น ในปี 2560 วางแผนขยายบริการเพิ่มอีก 10 โครงการ
ด้านมุมมองต่อภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทยในปี 2560 นั้น นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ กล่าวแสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวว่า "ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปีนี้โดยรวมมีทิศทางที่ดีขึ้น คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงกับจีดีพีที่ 3-4% เพราะในปีที่ผ่านมามีอุปทานเกิดใหม่ค่อนข้างน้อย ในขณะที่โครงการเครือข่ายคมนาคมได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐและเดินหน้าพัฒนาต่อเนื่อง ทำให้เกิดการขยายตัวของโครงการ ที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ และอาคารสำนักงานไปยังชานเมืองโดยรอบมากยิ่งขึ้น แต่ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามคือ ภาระหนี้ครัวเรือนและการกลั่นกรองปล่อยกู้ที่เข้มงวดของธนาคารพาณิชย์ ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยเติบโตช้า แต่หากพิจารณาเชิงลึกจะพบว่ากลไกดังกล่าวก็มีส่วนดีในการสร้างเสถียรภาพให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการนั้นในปีนี้ต้องรู้จักที่จะพัฒนาโครงการใบแบบผสมผสาน เพื่อสร้างรายได้ ลดความเสี่ยง สานต่อการเติบโต"