ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เป็นระดับ "BBB+"จากเดิม "BBB" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ดีขึ้นและส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจค้าน้ำมันสำเร็จรูป โดยอันดับเครดิตยังคงสะท้อนประวัติการดำเนินงานของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันสำเร็จรูป ตลอดจนประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่าย และการมีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจค้าน้ำมันที่มีอัตรากำไรต่ำและการแทรกแซงจากภาครัฐในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันโดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเอาไว้ได้ และคาดว่าบริษัทยังคงสามารถบริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในช่วงการขยายธุรกิจได้
ปัจจัยที่มีผลในเชิงลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท ได้แก่ กรณีที่ค่าการตลาดของบริษัทลดลงเป็นระยะเวลานานหรือกรณีที่บริษัทไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงการขยายธุรกิจ นอกจากนี้ การลงทุนจำนวนมากที่ทำให้อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงเกินกว่า 2 เท่าและกระแสเงินสดรองรับการชำระหนี้อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องยังเป็นปัจจัยเชิงลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วย ในขณะที่ปัจจัยเชิงบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท ได้แก่กรณีที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานสูงขึ้นและความสามารถในการชำระหนี้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือกรณีที่บริษัทประสบความสำเร็จในการกระจายแหล่งรายได้
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า การที่ "ทริสเรทติ้ง" เพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทฯ จาก "BBB" เป็น "BBB+" นั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการจัดการและผลการดำเนินของบริษัทฯ ที่ดีขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ยังคงเน้นย้ำที่จะบริหารงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคง ทั้งจากการลงทุนในธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (non-oil)
"สำหรับงบลงทุนในปีนี้คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 5,000 ล้านบาท สำหรับการขยายและปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันในปัจจุบันที่มีมากกว่า 1,400 สาขา และตั้งเป้าจะขยายสาขาเพิ่มเป็น 1,800 สาขา ทั่วประเทศภายในปีนี้ รวมถึงการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (non-oil) และธุรกิจใหม่ที่คาดว่าจะสามารถหาข้อสรุปได้ในเร็วๆนี้"
อย่างไรก็ดี ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตประมาณ 30-40% จากปีก่อนที่มีปริมาณขาย 2.9 พันล้านลิตร และในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (non-oil) เพิ่มจาก 1% เป็น 15% อีกด้วย
อนึ่ง บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อตั้งโดยสถาบันจัดอันดับเครดิตแห่งแรกของประเทศไทย คือ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทริส) เพื่อแยกงานด้านจัดอันดับเครดิตซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ออกมาดูแลโดยเฉพาะ ทริสเรทติ้ง ให้บริการวิเคราะห์และประเมินสถานะความน่าเชื่อถือขององค์กรและตราสารหนี้ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ของประเทศ ด้วยปรัชญาในการดำเนินงานที่เน้นความโปร่งใส มีความเป็นกลาง และเป็นอิสระ
อันดับเครดิตเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุน ที่ปรึกษาทางการเงิน และหน่วยงานธุรกิจ สำหรับหน่วยงานที่ถูกจัดอันดับเครดิต จะใช้อันดับเครดิตเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการวางแผนระดมทุน สร้างภาพพจน์แก่องค์กร หรือใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงธุรกิจ