ผู้อำนวยการศูนย์ความงามและเลเซอร์ลาดพร้าว
"รอยแผลเป็น" เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นบนร่างกายโดยเฉพาะนอกร่มผ้าที่เป็นจุดสังเกตได้ง่าย แต่เราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่เกิดจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด ผ่าคลอด การเป็นสิว หรือโรคอีสุกอีใส แม้ว่าแผลที่เกิดขึ้นจะหายดีแล้วก็ตาม แต่ยังคงมีรอยแผลเป็นทิ้งไว้บนร่างกายที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนเนื่องจากสีของแผลเป็นตัดกับสีผิว ทายาลบรอยแผลเป็นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุบหรือจางลงใน เร็ววัน และมักจะกวนใจเราอยู่เสมอ ไม่กล้าอวดโฉม เห็นเสื้อผ้าสวยๆ ก็ไม่กล้าซื้อมาเพราะมันเว้าส่วนที่เรามีรอยแผลเป็น ทำให้ทุกวันนี้ความก้าวหน้าทางวิทยาการรักษารอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์ ลบรอยแผลเป็นบนร่างกายถูกพัฒนาไปอย่างมาก และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้รักการดูแลผิวพรรณในปัจจุบัน
นพ.อุดมศักดิ์ วงศ์ปารมี ผู้อำนวยการศูนย์ความงามและเลเซอร์ลาดพร้าว โรงพยาบาลลาดพร้าว กล่าวว่า รอยแผลเป็นเกิดจากกระบวนการรักษาแผลที่เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ โดยการสร้างคอลลาเจน (collagen) มาทดแทนเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป เป็นกระบวนการสมานรักษาแผลตามธรรมชาติ และเมื่อแผลหายดีแล้ว ก็จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อปล่อยทิ้งไว้กระบวนการตามธรรมชาติจะช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงพร้อมทั้งแบนราบลงได้เอง หลังจากนั้นประมาณ ๑-๒ ปีเป็นต้นไป ยกเว้นในบางกรณีที่รอยแผลเป็นอาจมีอาการคันและเจ็บปวดได้ นอกจากนี้เด็กยังมีโอกาสที่จะเกิดแผลเป็นได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ โดยพบว่าในวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์จะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้บ่อยกว่าในวัยอื่นๆ ส่วนเพศหญิงจะมีโอกาสการเกิดแผลเป็นได้บ่อยและมากกว่าเพศชาย และคนผิวคล้ำจะมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้บ่อยและรุนแรงกว่าคนผิวขาว โดยรอยแผลเป็นที่เห็นกันทั่วไปจะเป็นรอยแผลเป็นที่ผิวหนังภายนอกเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงรอยแผลเป็นเกิดขึ้นได้กับอวัยวะภายในได้ด้วยเช่นกัน โดยการรักษาแผลเป็นภายนอกในปัจจุบันมีวิทยาการก้าวหน้าไปกว่าเมื่อก่อนมาก ทำให้การลบรอยแผลเป็นทำได้โดยง่ายและใช้เวลาไม่นาน เช่น การลบรอยสิว ลบรอยแผลเป็นหลังการผ่าคลอดด้วยการเลเซอร์ โดยแผลเป็นที่หลายคนส่วนใหญ่กังวลกันมาก คือ แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar) เป็นแผลเป็นที่มีลักษณะนูนขึ้นเหนือผิวหนังปกติรอบข้างจากการสร้างเซลล์คอลลาเจน ลักษณะสีแผลอาจเป็นสีแดง แดงดำ และสีเข้มกว่าสีผิวปกติ ขอบของแผลเป็นมีขนาดเท่ากับแผลเดิมไม่ขยายขอบเขต ในระยะแรกมักพบอาการคันร่วมด้วย มักเป็นแผลที่เกิดจากของมีคมบาดหรือแผลฉีกขาดที่เป็นแผลลึก แผลเป็นนูนชนิดคีลอยด์ (Keloid) เป็นแผลเป็นที่มีอาการนูนและแดงคล้ายกับรอยแผลเป็นนูนหนา แต่มีความผิดปกติทำให้เกิดการขยายตัวกว้างขึ้นเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบๆ จนเกินขอบเขตของรอยแผลตอนแรกเริ่ม แผลเป็นหลุม (Atrophic Scar) เป็นรอยแผลเป็นที่เป็นรอยลึกลงจากผิวหนัง มีสีใกล้เคียงกับสีผิวหนังปกติมักเกิดจากสิวหรือโรคอีสุกอีใส สามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น การใช้ยาทาแก้แผลเป็น ซึ่งจะเป็นยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาที่มีวิตามินเอ หรือวิตามินอีเป็นส่วนประกอบ การฉีดยา สเตียรอยด์ที่บริเวณแผลเป็นเพื่อให้แผลยุบตัวลง แต่ต้องฉีดหลายครั้งจนกว่าจะเรียบ การผ่าตัดเพื่อเอาแผลเก่าออกแล้วเย็บแผลใหม่อีกครั้ง ซึ่งวิธีนี้ใช้ได้ผลกับแผลเป็นบางชนิดเท่านั้น โดยหลังการผ่าตัดมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นใหม่สูงถึง 45 - 100% การทำเลเซอร์ลบรอยแผลเป็น เป็นการใช้พลังงานจากเลเซอร์เพื่อส่งผ่านชั้นผิวหนังเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อบริเวณรอยแผลให้เรียบเนียน โดยต้องทำการรักษาต่อเนื่องประมาณ 2-8 สัปดาห์ แล้วแต่ชนิดของแผลเป็น ซึ่งสามารถ ทำได้ตั้งแต่วันแรกที่ตัดไหม หรือเมื่อเกิดรอยแผลเป็นขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญอย่างแรกในการลดรอยแผลเป็น คือ ควรลดสาเหตุและระดับความรุนแรงของการเกิดแผล แต่ในกรณีที่เกิดแผลขึ้นแล้ว ควรดูแลรักษาทำความสะอาดแผลอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อให้แผลหายเร็วที่สุด ยิ่งแผลหายเร็วเท่าใดโอกาสการเกิดแผลเป็นก็จะน้อยหรือเบาบางลงเท่านั้น ในส่วนของการการรักษาแผลเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ควรรักษาสภาวะแวดล้อมและความสะอาดของแผลให้เหมาะสม มีอุณหภูมิที่อบอุ่น มีความชื้นเพียงพอ ความเป็นกรดด่าง และออกซิเจนที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์หรือยาฆ่าเชื้อ เช่น โพรวิโดนไอโอดีน เพราะส่งผลเสียต่อการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายช้า ส่วนชนิดของแผลที่ควรไปพบแพทย์ ได้แก่ แผลที่เลือดไหลไม่หยุด แผลขนาดใหญ่หรือแผลลึกมาก แผลที่เกิดจากแมลงพิษกัด แผลบริเวณข้อต่อหรือข้อพับ และแผลที่แดงอักเสบ และปวดรุนแรงหรือเป็นหนอง ซึ่งมีโอกาสเกิดแผลเป็นได้สูง
ศูนย์ความงามและเลเซอร์ลาดพร้าว โรงพยาบาลลาดพร้าว ดูแลเอาใจใส่ในทุกๆรายละเอียดของการรักษา เสริมสร้างความงามเพื่อสุขภาพผิวที่ดี และกลับมาเรียบเนียน ขาวใสไร้กังวลหมดปัญหารอยแผลเป็น ให้คุณอวดผิวสวยได้อย่างมั่นใจ เพราะเรื่องผิว เป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องดูแล