นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA ผู้ประกอบธุรกิจผลิต จำหน่ายและติดตั้งผลิตภัณฑ์กระจายและส่งจ่ายไฟฟ้า สวิตช์บอร์ดไฟฟ้า รางและบันไดพาดสายไฟฟ้า โคมไฟและระบบส่องสว่าง งานบริการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง และงานบริการหลังการขายครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวดปี 2559 มีกำไรสุทธิจำนวน 288.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81.48 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39.41% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 206.75ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นจำนวน 703.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 133.90 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 25.14% เพิ่มขึ้น 2.79% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนการผลิต ต้นทุนงานโครงการและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 2,799.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 250.03 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.81.% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายจากการขายและบริการอยู่ที่ 2,549.60ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเพิ่มขึ้น 349.01 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21.32% รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมาเพื่อจำหน่ายต่อเพิ่มขึ้น 64.52 ล้านบาท คิดเป็น 17.41% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายการลงทุนในโครงการต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น สำหรับรายได้จากโครงการรื้อถอนโรงไฟฟ้าบางปะกงลดลง 94.62 ล้านบาท คิดเป็น 18.88% เนื่องจากบริษัทได้ชะลอขายวัสดุในกลุ่มเหล็กและทองแดง จากผลกระทบในเรื่องของราคาตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง
"บริษัทฯ พอใจกับผลงานที่ออกมา ทั้งรายได้และกำไรสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ซึ่งผลงานในปี 2559 ที่เติบโตอย่างน่าประทับใจเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2560 และบางส่วนในปี 2561 ซึ่งจะสนับสนุนผลประกอบการของบริษัทให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง" นายไพบูลย์ กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนิงานประจำปี 2559 ในอัตราหุ้นละ 0.32 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 และจ่ายปันผลวันที่ 25 พฤษภาคม 2560 เพื่อเป็นการขอบคุณผู้ถือหุ้นและมั่นใจว่าจะไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง กับผลประกอบการของบริษัทฯ
นายไพบูลย์ กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560 ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ เติบโต 10 - 15% โดยบริษัทมีแผนเข้าร่วมประมูลและเสนองานทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เกตแชร์) ให้มากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ประมาณ 10% และมีสัดส่วนงานของภาคเอกชน 70-80% และงานภาครัฐ 20-30% ทั้งนี้เชื่อว่าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์กระจายและส่งจ่ายไฟฟ้าและงานบริการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง