ประสบการณ์ที่ได้มากกว่าแค่ภาษา
หน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ (Education New Zealand: ENZ) ร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำ จัดงานนิทรรศการการศึกษานิวซีแลนด์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 22 ภายใต้แนวคิด "Think New...New Zealand" โดย มิส คาเรน แคมเบลล์ ทูตพาณิชย์ สำนักงานทูตพาณิชย์นิวซีแลนด์ ประจำประเทศไทย เป็นประธานเปิดงาน และมีผู้สนใจเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท เมื่อเร็วๆ นี้
มิส คาเรน แคมเบลล์ ทูตพาณิชย์ สำนักงานทูตพาณิชย์นิวซีแลนด์ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า "ประเทศนิวซีแลนด์มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทยมายาวนานกว่า 60 ปี ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนนานาชาติได้เข้าเรียนในหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ไม่ว่าจะในระดับมัธยม สถาบันฝึกอบรมเอกชน สถาบันเทคโนโลยี โรงเรียนสารพัดช่าง และมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆที่มีรูปแบบการเรียนการสอนแบบอินเตอร์แอคทีฟ มุ่งเน้นการสอนให้แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนการใช้ชีวิตและประสบการณ์ต่างๆแบบชาวกีวี หรือ นิวซีแลนด์อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีมีโปรแกรมการศึกษาที่มีคุณภาพสูงในสาขาต่างๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ สื่อและบันเทิง การท่องเที่ยวและการโรงแรม การเกษตร กระบวนการผลิตอาหาร สาธารณสุข รวมทั้งการค้าและการบริหาร การจัดการ สังคมศาสตร์และวัฒนธรรมด้วย
"ระบบการศึกษานิวซีแลนด์ สนับสนุนให้นักเรียนมีทักษะและประสบการณ์ที่พวกเขาต้องประสบความสำเร็จทุกที่ในโลก มุ่งเน้นด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน และประยุกต์ใช้ความรู้ต่างๆ ที่ไม่ใช่เพียงการท่องจำ หรืออยู่แต่ในห้องเรียน แต่จะทำให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาทักษะต่างๆ ในการเปลี่ยนความคิดไปสู่การปฏิบัติ กล้าคิด กล้าแสดงออก ซึ่งความคิดใหม่ๆ จำนวนมากเกิดจากการเรียนรู้นอกห้องเรียน" นางคาเรน กล่าว
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา มีนักเรียนไทยกว่า 3,300 คน ได้ศึกษาอยู่ในนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความสงบสุขที่สุดในโลก โดย The 2016 Global Peace Index เมื่อเทียบกับอีก 162 ประเทศ ในด้านความปลอดภัยและความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรง
ภายในงานนิทรรศการการศึกษานิวซีแลนด์นอกจากจะมีสถาบันการศึกษาต่างๆทั้งสถาบันสอนภาษาและมหาวิทยาลัยชั้นนำ พร้อมใจมอบทุนการศึกษาและข้อเสนอพิเศษสำหรับนักเรียนไทยที่สนใจไปเรียนต่อนิวซีแลนด์แล้วยังมีเสวนา เพื่อไขข้อข้องใจ และค้นพบศักยภาพเส้นทางสู่ความสำเร็จในชีวิตผ่านประสบการณ์อันมีค่าจากผู้มีประสบการณ์ตรง
คุณเฉกชนก สุนทรศารทูล ผู้จัดการฝ่ายนโยบายและกิจการสัมพันธ์ บริษัท บีจี ประเทศไทย เล่าถึงเหตุผลที่ส่งลูกชายไปเรียนต่อนิวซีแลนด์ว่า "การเรียนที่เมืองไทยค่อนข้างหนักและกฎระเบียบข้อบังคับเยอะ เด็กต้องตื่นเช้าตรู่ไปโรงเรียน เย็นเลิกเรียนกว่าจะถึงบ้านก็ค่ำ เสาร์-อาทิตย์ยังต้องเรียนพิเศษอีก ทำให้เด็กไม่มีเวลาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ทั้งที่ลูกผมเป็นคนเรียนเก่งและชอบเล่นกีฬามาก แต่กลับไม่ได้รับการส่งเสริมด้านกีฬา คนเรียนเก่งเมืองไทยต้องเรียนต่อสายวิทย์ ต้องไปเป็นหมอ หรือเป็นวิศวะ แต่ผมดูลูกผมแล้วไม่ใช่ ก็เริ่มหาข้อมูลและพบว่าประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาดีมาก เน้นการสอนให้ผู้เรียนเป็นตัวของตัวเอง เราจึงไปเที่ยวนิวซีแลนด์พร้อมกับไปดูโรงเรียนกันทั้งครอบครัว และตัดสินใจให้ลูกไปลองใช้ชีวิตที่นั่นตั้งแต่อายุ 14 ปี โดยที่เขาเป็นคนเลือกโรงเรียนด้วยตัวเองและเลือกเรียนกฎหมายตามที่เขาชอบ ทำให้ลูกมีความสุขกับการเรียนมากขึ้น ซึ่งไปปีแรกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดนอกจากการเรียนและภาษาที่ดีขึ้น ก็คือ วุฒิภาวะ ความมีระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ โดยเฉพาะเรื่องการใช้เงินจะมีการระมัดระวังมากขึ้น และความกล้าที่จะตัดสินใจในสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง
คุณนพกฤกษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้ง จำกัด เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศเพราะลูกไม่มีความสุขในการเรียน มีปัญหาในการทำการบ้าน และทะเลาะกับครูผู้สอนอยู่เป็นประจำ เพราะเด็กไทยเรียนเครียดเกินไปเน้นหนักวิชาการ ทำให้เด็กต่อต้าน ไม่อยากเรียน จึงหาข้อมูลเรื่องโรงเรียนที่ต่างประเทศ ซึ่งลูกผมต้องการไปประเทศที่เป็นธรรมชาติ บ้านเมืองเงียบสงบ ปลอดภัยระดับสูง อากาศดี และที่สำคัญระบบการศึกษาต้องได้มาตรฐานอยู่ในระดับท็อปเท็นของโลก ซึ่งทั้งหมดก็ตรงกับประเทศนิวซีแลนด์ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดหลังจากไปเรียนที่โน่นก็คือ เขามีความสุขกับการเรียนมากขึ้น มีวินัย นอนตรงเวลา เลิกเล่นเกม พูดจากับพ่อกับแม่ดีขึ้น ควบคุมอารมณ์ได้ดี
และคุณพ่อทั้งสองได้ทิ้งท้ายไว้เหมือนกันว่า "เราให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้การจะให้ลูกไปเรียนที่ไหน ก็ควรให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วย ว่าโรงเรียนนั้นถูกจริตกับลูกเรา ซึ่งจะทำให้ลูกมีความสุขในการเรียน และเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณภาพ"
นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยกับสองผู้บริหารหนุ่มไฟแรงถึง "7 สูตรสำเร็จของชีวิตที่ได้จากการเรียนต่อที่นิวซีแลนด์" ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์และการใช้ชีวิตในนิวซีแลนด์ที่ได้มากกว่าแค่ภาษา ได้แก่ 1) ความหลากหลายของวัฒนธรรม 2) การทำหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน 3) การทำงานในสาขาที่แตกต่างกัน 4) ความมีวินัย 5) ความรู้ด้านธุรกิจ 6) ประสบการณ์การเป็นผู้ประกอบการ และ 7) การมีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ และทักษะการคิดในเชิงวิพากษ์
คุณปิตินันท์ ควะชาติ ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มบ้านสวนทองกรุ๊ป ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยแคนเทอร์เบอรี่ นิวซีแลนด์ เล่าว่า ไปอยู่ที่โน่นเรียกได้ว่าเปิดประสบการณ์ชีวิตใหม่เลยก็ว่าได้ มีเพื่อนจากหลายๆ ประเทศทั้ง ชาวกีวี ญี่ปุ่น มาเลเซีย จีน สิงคโปร์ เมื่อกเรามารวมตัวกันสิ่งที่จะต้องทำร่วมกันคือการปรับตัวในการเรียนรู้วัฒนธรรม และสำเนียงภาษาของแต่ละชาติ เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันได้จนกว่าจะเรียนจบ นอกจากนี้ที่มหาวิทยาลัยยังสนับสนุนให้นักศึกษาได้ทำงานพาร์ทไทม์ ส่งเสริมให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์ด้านการจัดการต่างๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องเรียน มุ่งเน้นให้นักศึกษาพัฒนาทักษะและศักยภาพทางภาษา และสะสมประสบการณ์ด้านการทำงานไปด้วยในตัว การที่ผมได้เจอกับเพื่อนจากหลากหลายประเทศ สามารถต่อยอดธุรกิจของครอบครัวของผมได้ ด้วยเป็นธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ การจะขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านก็ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของคนในประเทศนั้นๆ เราได้ไปสัมผัสทั้งที่อยู่อาศัย ของกิน ของใช้ มันทำให้เรามีไอเดียในการออกแบบตกแต่งบ้าน หรือที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับคนเชื้อชาติต่างๆ ได้อย่างลงตัว วัฒนธรรมนานาชาติที่เราได้สัมผัสมา มันทำให้เราพูดคุยกับกลุ่มลูกค้าที่จะเข้ามาซื้อบ้าน หรือลงทุนได้ง่ายขึ้น รวมถึงปรับมาตรฐานของธุรกิจของเราให้สูงขึ้นได้อีกด้วย
และ คุณเอิม-ณรัล วิวรรธนไกร Executive Director บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ศิษย์เก่าจากมาหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ นิวซีแลนด์ เล่าว่า ผมไปเรียนที่นิวซีแลนด์ตั้งแต่มัธยม จนจบมหาวิทยาลัย ได้เรียนรู้วัฒนธรรมทั้งในแบบตะวันตกและตะวันออก ทั้งจากชาวกีวีเอง และจากชาวเกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน ที่แต่ละคนก็มีความคิดที่แตกต่างกัน เราจะเรียนรู้สไตล์การทำงานของเพื่อนแต่ละชาติได้จากการทำงานกลุ่ม เมื่อกลับมาผมก็นำความรู้เหล่านั้นมาปรับใช้กับการทำงานของผม ตอนเรียนที่โน่นเราจะได้ฝึกหลายอย่างมากเพื่อให้เรามีทักษะที่หลากหลาย ได้เข้าคลับต่างๆ ในโรงเรียน ทำให้เราเป็นคนกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น ได้ต่อยอดมาถึงงานปัจจุบัน เมื่อมาทำธุรกิจ ก็จะทำให้เราโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ
ปิดท้ายด้วย น้องเติม-เศวตชัย นาคสุข นักแสดงดาวรุ่งแห่งวงการบันเทิง บอกว่า เริ่มแรกผมเรียนโรงเรียนอินเตอร์ในประเทศไทย แต่พัฒนาการด้านภาษาอังกฤษผมค่อนข้างช้า พ่อกับแม่เลยส่งไปเรียนที่นิวซีแลนด์ เพราะค่าเรียนไม่ได้ต่างกันมากนัก ไปอยู่ที่โน่นภาษาผมดีขึ้นแน่นอนเพราะต้องพูดทุกวัน ผมสามารถจัดสรรเวลาได้ดีขึ้น ไปเรียนที่โน่นตั้งแต่ 10 ขวบ โรงเรียนที่โน่นสอนให้เรามีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดีขึ้น สอนให้เราเป็นตัวของตัวเอง กล้าแสดงความคิดเห็น ต่างจากเด็กที่นี่ค่อนข้างเงียบ ไม่กล้าตอบคำถาม เด็กไทยมักจะคิดว่าคนเก่งจะต้องเป็นหมอ หรือวิศวกรเท่านั้น แต่ในโลกใบนี้ยังมีอาชีพอีกมากมายที่สามารถทำเงินให้กับเราได้ เพียงแค่เรามีความมั่นใจในความเป็นตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักกฎหมาย หรือนักเศรษฐศาสตร์ ล้วนแล้วแต่สำคัญทั้งนั้น
สำหรับผู้ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการศึกษานิวซีแลนด์สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์www.studyinnewzealand.com