นายทอมมี่ เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (CGH) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2559 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 392.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 331.35 ล้านบาท หรือ 545.70% เมื่อเทียบเทียบกับปีก่อนมีกำไรสุทธิ 60.72 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวม 1,221.89ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.40 ล้านบาท หรือ 4.66% เมื่อเทียบกับปีก่อนมีรายได้รวม 1,167.49 ล้านบาท
สำหรับสาเหตุที่ทำให้กำไรสุทธิในปี 2559 เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 545.70% ได้รับปัจจัยหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น 116.36 ล้านบาทหรือ 632.74% และปัจจัยหนุนจากเงินลงทุนและตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น 52.91 ล้านบาทหรือ 46.31% เนื่องจากบริษัทฯ มีกำไรจากการขายเงินลงทุนเผื่อขายและกำไรจากการขายเงินลงทุนเพื่อค้าเพิ่มขึ้นจำนวน 37.02 ล้านบาทและจำนวน 23.34 ล้านบาท ตามลำดับ
รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 18.42 ล้านบาทหรือ 30.38% เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้ค่าที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่มขึ้นจำนวน 32.07 ล้านบาท ในขณะที่รายได้จากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ลดลง 16.93 ล้านบาท
รายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลเพิ่มขึ้น 14.29 ล้านบาท หรือ 22.62% เนื่องจากบริษัทฯ เพิ่มการลงทุนทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากเงินปันผลเพิ่มขึ้น 22.55 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีรายได้จากดอกเบี้ยลดลง 8.26 ล้านบาท
บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขยายธุรกิจการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์รายย่อยบางส่วนให้แก่บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งเป็นจำนวน 306 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3/2559 บริษัทฯ มีรายได้ค่านายหน้าลดลง 325.54 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเนื่องจากการขายธุรกิจการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์รายย่อยบางส่วนให้แก่บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง รวมทั้งมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯ ลดลง
บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 931.32 ล้านบาท ลดลงจำนวน 137.70 ล้านบาท หรือ 12.88% จากจำนวน1,069.02 ล้านบาท
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (CGH) กล่าวอีกว่า สำหรับในปี 2559 ที่ผ่านมาฯ บริษัทมีผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด สร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทฯ ดำเนินงานอย่างรัดกุมภายใต้แผนกลยุทธ์ทางการตลาดครอบคลุม 5 ด้าน ได้แก่ 1. ความหลากหลายทางการลงทุน 2. การมีเครือข่ายที่กว้างขวาง 3. การผนึกโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน 4. การสร้างมูลค่าสูงสุดและ 5. การลงทุนแบบเชิงรุก พร้อมทั้งเน้นปรับโครงสร้างการดำเนินงานและการบริหารของบริษัทในเครือเพื่อให้เกิดผลการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิในปี 2559 เพิ่มขึ้นถึง 545.70% และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น 632.74% จากปีก่อน