นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL กล่าวแสดงความมั่นใจดังกล่าวหลังจากที่นักลงทุนบางกลุ่มได้แสดงความวิตกกังวลและตั้งคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสของบริษัทฯ ในการปล่อยเงินกู้ให้แก่ผู้กู้ 2 กลุ่มในประเทศสิงคโปร์และไซปรัส ตามข้อสังเกตหมายเหตุประกอบงบการเงินรวมประจำปี 2559 ของผู้สอบบัญชี โดยผู้สอบบัญชีระบุว่าเงินให้กู้ยืมดังกล่าวและดอกเบี้ยค้างรับจำนวน 3,477 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 40 ของสินทรัพย์สุทธิรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559) ซึ่งผู้กู้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทฯ ด้วยและได้นำหลักทรัพย์ส่วนหนึ่งที่เป็นหุ้นของบริษัทฯ มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ยืมดังกล่าว และหมายเหตุประกอบงบการเงินได้ระบุเพิ่มเติมว่าหลักทรัพย์ค้ำประกันอื่น ประกอบด้วย อสังหาริมทรัพย์ในเกาะไซปรัสและประเทศบราซิล พันธบัตรรัฐบาลไซปรัสและหุ้นในบริษัทอื่นในต่างประเทศ
นายมิทซึจิ กล่าวเน้นย้ำว่า ผู้กู้ 2 กลุ่มที่อยู่ในสิงคโปร์และไซปรัสดังกล่าว เป็นหุ้นส่วนการทำธุรกิจของ GL เป็นเวลายาวนานและมีความน่าเชื่อถือ โดยส่วนใหญ่เป็นดีลเลอร์รถเตอร์ไซค์ เครื่องจักรกลเกษตรแผงโซล่าร์เซลล์และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างอื่น โดยดีลเลอร์เหล่านี้จัดหาสินค้าให้กับผู้กู้รายย่อยระดับรากหญ้าในตลาดต่างๆ ซึ่ง GL ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ และดีลเลอร์เหล่านี้ก็ได้กลายสภาพมาเป็นผู้ถือหุ้นของ GL ด้วย โดยนายมิทซึจิกล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า สำหรับหุ้นของ GL และหลักทรัพย์อื่นๆ ซึ่งใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ของดีลเลอร์เหล่านี้ ก็มีการตีมูลค่าอย่างยุติธรรมและมีมูลค่ามากกว่ายอดเงินกู้
สำหรับประเด็นข้อกังวลของนักลงทุนในเรื่องการขยายเวลาการชำระคืนเงินกู้นั้น นายมิทซึจิกล่าวชี้แจงว่า ในเบื้องแรกเงินกู้สำหรับผู้ประกอบการ SMEs เหล่านี้ จะเป็นเงินกู้ระยะสั้น 3 เดือน และโรลโอเวอร์เมื่อครบกำหนด แต่หลังจากที่บริษัทฯ มีความมั่นใจถึงเครดิตความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการคู่ค้าเหล่านี้ ก็จะปรับระยะเวลาชำระคืนเงินกู้เป็น 1 ปี โดยสามารถโรลโอเวอร์ต่อไปได้ตามความจำเป็นในการขยายธุรกิจของดีลเลอร์เหล่านี้ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นเรื่องปกติในการขยับขยายธุรกิจของ GL โดย GL สามารถเพิ่มพอร์ตสินเชื่อ ด้วยการขยายสินเชื่อให้กับกลุ่ม SMEs ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทำให้สามารถทำกำไรเพิ่มพูนได้อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยงบการเงินล่าสุดปี 2559 โชว์กำไรสุทธิ 1,062 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดโดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 82.34%
ส่วนการบันทึกรายการเงินกู้เหล่านี้ในประเทศสิงคโปร์และไซปรัสนั้น สืบเนื่องจากโครงสร้างภาษีของทั้ง 2 ประเทศ ที่เอื้อประโยชน์สำหรับการทำธุรกรรมดังกล่าว