“เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป” เผยกำไรปี 59 สุทธิ 704 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 60 เติบโตต่อเนื่อง พร้อมเผยแผนโครงการ The Platinum Empowering SMEs

พุธ ๑๕ มีนาคม ๒๐๑๗ ๑๒:๐๒
"เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป" เผยกำไรปี 59 สุทธิ 704 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 60 เติบโตต่อเนื่องพร้อมเผยแผนโครงการ The Platinum Empowering SMEsชูจุดแข็งร้านค้าแฟชั่น ร่วมพัฒนาย่านการค้าส่งและปลีกประตูน้ำของไทย ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อน ช้อปปิ้ง ที่สำคัญ ในภูมิภาคอาเซียน

นายชาญชัย พันธุ์โสภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PLAT ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาศูนย์การค้าส่งและปลีก รวมทั้งบริหารพื้นที่ค้าส่งปลีกให้เช่า เพื่อการพาณิชย์ เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทฯและบริษัทย่อยในงวดปี 2559 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 704 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทฯมีกำไร นิวไฮ โดยมีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,863 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 95 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 5% โดยปัจจัยหลักที่ส่งเสริมอัตราการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงาน มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าเช่า ค่าบริการและโรงแรม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่มั่นคง เนื่องจากบริษัทฯมีการปรับขึ้นราคาค่าเช่าพื้นที่รวมทั้งค่าบริการ สำหรับสัญญาเช่าและบริการที่หมดอายุระหว่างปี และการปรับโซนพื้นที่ขายอาหารบางส่วนของศูนย์อาหารในโครงการ เดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ มาบริหารเอง ประกอบกับต้นเดือนธันวาคม 2559 บริษัทฯได้มีการเปิดพื้นที่ให้เช่าสำหรับโครงการ"ตลาดนีออน" ตลาดนัดกลางคืน...ใจกลางกรุง บนถนนเพชรบุรี 23-29 จึงส่งผลให้รายได้จากการให้เช่าและบริการเพิ่มขึ้น ทั้งนี้รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทฯ มาจาก 3 ส่วนใหญ่ ได้แก่ รายได้ค่าเช่าและบริการอยู่ที่ 1,107 ล้านบาท รายได้จากการประกอบกิจการโรงแรมอยู่ที่ 365 ล้านบาท รายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่ม 246 ล้านบาท พร้อมทั้งมีรายได้อื่นๆ อยู่ที่ 145 ล้านบาท

"ผลประกอบการทั้งรายได้ กำไร ปี 2559 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงานสูงถึง 704 ล้านบาท เป็นนิวไฮใหม่ของ PLAT ซึ่งถือว่ารายได้หลักมาจากการให้เช่าพื้นที่ โดยที่ผ่านมามีการปรับขึ้นราคาค่าเช่าระหว่างปีพร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพื้นที่บางส่วนของร้านอาหารที่บริษัทฯดำเนินงานเองเป็นพื้นที่เช่าจึงส่งผลทำให้รายได้จากพื้นที่เช่าของบริษัทฯเพิ่มขึ้น ส่วนรายได้โรงแรมที่เพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราค่าห้องพักเพิ่มขึ้น ประกอบกับในช่วงไตรมาส 3/59 บริษัทฯมีลูกค้าองค์กรธุรกิจเข้าพักเพิ่มขึ้นซึ่งมีอัตราค่าห้องพักอยู่ในระดับราคาที่สูง ขณะที่รายได้อื่นของบริษัทไม่เปลี่ยนแปลง ด้านการจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติจ่ายปันผล เป็นเงินสดงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559 อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.18 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 ขึ้น XD วันที่ 3 พฤษภาคม 2560" ซึ่งจะนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติต่อไป นอกจากนี้ นายชาญชัย กล่าวเพิ่มเติมถึง แผนการดำเนินธุรกิจของ PLAT ในปี 2560 ตั้งเป้าหมายรายได้อยู่ที่กว่า 2,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 59 ที่มีรายได้ 1,863 ล้านบาท

โดยเฉพาะธุรกิจพื้นที่เช่าส่วนธุรกิจโรงแรม โนโวเทล กรุงเทพ แพลทินัม ประตูน้ำ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการอย่างคึกคัก ทำให้ทั้งปี 2559 มีอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 87% นอกจากนี้ยังมีการปรับเพิ่มห้องพักภายในโรงแรม จากเดิม 283 ห้อง จะทำให้โรงแรมมีห้องพักรวมทั้งสิ้น 288 ห้อง ซึ่งจะทำให้รับรู้รายได้ห้องสวีทเพิ่มอีก 5 ห้อง ในเดือน เม.ย. เป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนรายได้บริษัทฯ ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

สำหรับความคืบหน้าโครงการ เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ศูนย์การค้าปลีกขนาดใหญ่ บนถนนราชดำริ ขนาดพื้นที่รวม 170,000 ตร.ม. มูลค่าการลงทุน 5,800 ล้านบาท ได้ดำเนินการลงเสาเข็มโดยงานชั้นใต้ดินดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วจะเริ่มเห็นโครงสร้างถึงชั้นบนสุดภายในปีนี้ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในไตรมาส 4/61 ส่วนความคืบหน้าในการลงทุนที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ปลายปี 2560 นี้ จะเริ่มก่อสร้างโรงแรม 2 แห่ง คือ โรงแรม Holiday Inn Express เป็นโรงแรม 3 ดาว และโรงแรม Holiday Inn Resort 4 ดาว

ขณะที่ความคืบหน้าทางเดินลอยฟ้า "Bangkok Skyline" ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนของเดอะ แพลทินัม กรุ๊ป และกลุ่มเกษร ปัจจุบันเปิดบริการในเฟส 1 (ความยาวทั้งหมด 300 เมตร ความกว้างทางเดิน 5.8 เมตร)เปิดให้ประชาชนได้ทดลองใช้บริการไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา มีผู้มาใช้บริการประมาณ 50,000 คน/วัน สำหรับเฟส 2 (ความยาว 180 เมตร ความกว้างทางเดิน 3 เมตร) จะเชื่อมต่อจากเฟส 1 ผ่านโครงการ เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี อาคารเกษร อาคารอัมรินทร์ พลาซ่า และเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าชิดลม คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/ 2560 ซึ่งจะช่วยให้มีการเชื่อมต่อระหว่างศูนย์การค้าและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนมากขึ้น ส่งผลดีต่อการเติบโตทางด้านธุรกิจของย่านประตูน้ำ และส่งผลดีต่อธุรกิจของเดอะ แพลทินัม กรุ๊ป ที่มีธุรกิจในย่านนี้ เนื่องจากย่านประตูน้ำเป็นย่านธุรกิจที่มีพัฒนาการและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการรวมตัวกันของผู้ประกอบการธุรกิจค้าส่งสินค้าเสื้อผ้าแฟชั่น ในลักษณะเดียวกันอย่างโดดเด่นและชัดเจน จนปัจจุบันเป็นที่จดจำกันว่าเป็น Wholesale Fashion Destination Venue ที่รับรู้กันทั่วไปทั้งคนไทยและต่างชาติไปแล้ว ด้วยความโดดเด่นของศักยภาพทำเลที่อยู่ใจกลางเมือง อยู่ใกล้กับแหล่งที่พักแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถท่องเที่ยวได้ทั้งกลางวันกลางคืน ทำให้ย่านนี้มีความโดดเด่น เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีนักธุรกิจสนใจลงทุนทำธุรกิจในย่านนี้เป็นจำนวนมาก และยังคงมีการลงทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ในส่วนธุรกิจของ เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป เองก็ถือว่ามีธุรกิจหลักที่อยู่ในบริเวณย่านนี้ ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ค้าส่ง เดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ โรงแรมโนโวเทล แพลทินัม ประตูน้ำ และตลาดนีออน นอกจากนี้ยังมีโครงการ The Market Bangkok บนถนนราชดำริ ที่มีกำหนดแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในไตรมาส 4/61 อีกด้วย ดังนั้นภายในอีก 2 ปี จะได้เห็นย่านประตูน้ำมีพัฒนาการเติบโตยิ่งขึ้นไปอีก โดยที่จะเห็นได้ชัดเจน ในปีนี้ก็คือโครงการ "Bangkok Skyline" เฟส 1ได้เปิดให้ทดลองใช้บริการไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมปี59 ที่ผ่านมา และโครงการ "Bangkok Skyline" เฟส 2 มีกำหนดการแล้วเสร็จในไตรมาส 1/60 ถือได้ว่าในปี 60 นี้ เป็นปีที่ ทุกคนจะได้เห็นความสมบูรณ์แบบของการเชื่อมต่อการเดินทางจากทางเดินลอยฟ้าสู่สถานีรถไฟฟ้า (BTS)ที่แสนสะดวกสบาย และสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางในเส้นทางเรือย่านประตูน้ำก็มีบริการเดินเรือโดยสารคลองแสนแสบให้ได้เลือกเดินทางตามความสะดวก นอกจากนี้ย่านประตูน้ำยังอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า Airport Rail Link ราชปรารภ สะดวกต่อการเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิและจะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะช่วยเติมเต็มให้ย่านประตูน้ำซึ่งเป็นแหล่งธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นค้าส่ง กลายเป็นทั้งย่านการค้าธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสมบูรณ์แบบระดับนานาชาติ

ดังนั้น เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จึงได้วางแผนภายในปีนี้เตรียมปักหมุดให้ศูนย์การค้าเดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ ก้าวเข้าสู่ความเป็น The Best Wholesale Fashion HUB of ASEAN อย่างแท้จริง เนื่องจากปัจจุบันสถิติชาวต่างชาติที่นิยมมาใช้บริการศูนย์การค้าเดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ ยังคงเป็นชาวสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งยังคงครองอันดับต้นๆ ที่นิยมมาใช้บริการอยู่ และปัจจุบันกลุ่มชาวอินโดนีเซียก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ก้าวกระโดดขึ้นเป็น 4 เท่า เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2558 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันยังมีชาวต่างชาติกลุ่มประเทศ CLMV ที่สนใจเข้ามาท่องเที่ยวและยังมาทำธุรกิจซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นในรูปแบบค้าส่งเพื่อนำไปจำหน่ายต่อในประเทศของตนอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มประเทศเหล่านี้กำลังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้น ประชากรมีความอยู่ดีกินดีมากขึ้น กลุ่มคนกำลังซื้อระดับกลางจนถึงสูง ให้ความสนใจในสินค้าที่มีคุณภาพ สินค้าที่มีความเป็นแฟชั่น โดยเฉพาะจุดเด่นของสินค้าแฟชั่นในเดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ มีความเป็นแฟชั่นที่ทันสมัยเปลี่ยนแบบใหม่ทุกสัปดาห์ โดยในแต่ละสัปดาห์หากใครเคยมาช้อปแล้วจะพบว่าสินค้าประเภทแฟชั่นไม่เคยซ้ำแบบ นอกจากนี้สินค้ายังมีราคาที่ถูกมากหากเทียบกับคุณภาพและดีไซน์ ซึ่งจุดเด่นเหล่านี้เกิดขึ้นจากความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างแท้จริงและความจริงใจของผู้ประกอบการร้านค้าแฟชั่นชั้นนำภายในศูนย์การค้าเดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ ซึ่งมีอยู่หลายร้านด้วยกัน และเพื่อเป็นการส่งเสริมจุดเด่นเหล่านี้ให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้างสู่สากลมากยิ่งขึ้น จึงได้เริ่มต้นจัดโครงการ The Platinum Empowering SMEs ขึ้นมา เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2559 ซึ่งได้มีการเปิดตัวร้านค้า 20 ร้านโครงการนำร่องไปแล้วเมื่อ17 สิงหาคม 59 ปัจจุบันมีร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการแล้วทั้งหมด 100 ร้านค้า โดยมีเป้าหมายร่วมกันกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ คือเป็น The Best Wholesale Fashion HUB of ASEAN สำหรับวัตถุประสงค์โครงการนั้น เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการไทยรายย่อย SME ให้สามารถสร้างแบรนด์ แข่งขัน เพิ่มยอดขายและเติบโตอย่างยั่งยืน ในตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ทำธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกด้านแฟชั่นเข้าถึงข้อมูลร้านค้าและสินค้าแฟชั่นที่ผ่านการคัดสรรคุณภาพจากโครงการโดยตรง ตลอดจนร่วมพัฒนาย่านการค้าส่งประตูน้ำของไทย ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว พักผ่อน ช้อปปิ้ง ที่สำคัญ ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะต่อยอดให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยเกิดเงินหมุนสะพัดที่เกิดจากการท่องเที่ยวและช้อปปิ้ง ภายในประเทศไทยได้อย่างสูงสุด

ด้านสิทธิประโยชน์ในเบื้องต้นที่ร้านค้าเข้าร่วมโครงการจะได้รับ เช่น การออกแบบและผลิตโปสเตอร์พร้อมติดประชาสัมพันธ์ให้ในลิฟท์โดยสารของศูนย์การค้า การให้พื้นที่ติดตั้งพร้อมออกแบบจัดดิสเพลย์แนะนำสินค้าภายในบริเวณศูนย์การค้า การจัดทำวีดีโอแนะนำร้านค้าเพื่อการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ 2 ภาษา(ไทย-อังกฤษ)เผยแพร่ภายในจอโทรทัศน์ภายในศูนย์การค้าครอบคลุมทุกโซนพร้อมเตรียมแผนงานเผยแพร่ให้ถึงกลุ่มเป้าหมายคู่ค้านักธุรกิจค้าส่งและปลีกตลอดจนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยตั้งเป้าเผยแพร่ไปในกลุ่มภูมิภาคอาเซียนเป็นลำดับแรก นอกจากนี้ยังมีการประชาสัมพันธ์ร้านค้าผ่านสื่อ Online และ Social Mediaของศูนย์การค้า เช่น Website,Instagram,Facebook การจัดทำใบปลิวเพื่อประชาสัมพันธ์ร้านค้าโดยแจกให้กับกลุ่มเอเจนซี่ทัวร์ ไกด์นำเที่ยว นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ จัดกิจกรรมอบรมสัมมนาที่เป็นประโยชน์ให้กับร้านค้า เช่น การอบรมด้านการพัฒนาธุรกิจทั้งออนไลน์และออฟไลน์ การให้บริการ การใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารการค้า การช่วยต่อยอดธุรกิจโดยการเชิญสถาบันการเงินมาให้ความรู้ด้านธุรกรรมทางการเงิน ส่งเสริมให้ร้านค้ารับชำระค่าบริการสินค้าด้วยบัตรเครดิตเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า การอัพเดตข่าวสารความรู้ที่เป็นประโยชน์เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาสินค้า สร้างเทคนิคการขาย การสร้างฐานลูกค้า การจับคู่ธุรกิจหรือ Business Matching และประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมายซึ่งปัจจุบันทางโครงการได้มีการคัดสรรกิจกรรมที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการอีกมากมาย

ซึ่งภายหลังจากการที่ได้เริ่มดำเนินการโครงการก็ได้รับผลตอบรับที่ดีจากร้านค้าหลายรายที่มีกลุ่มลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้นและมียอดขายที่เพิ่มขึ้น และเพื่อให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆที่เพิ่งเข้าร่วมโครงการได้เห็นภาพแผนการทำงานของโครงการที่ชัดเจนขึ้น ทางโครงการจึงได้คัดสรร 5 ผู้ประกอบการต้นแบบ ขึ้นมาดังรายชื่อดังนี้

1.คุณรัตติกาล เอี่ยมจั่น ผู้ประกอบการร้าน "Classic Accessories" เครื่องประดับสตรี

2.คุณธัญจิรา สุคนธากร ผู้ประกอบการร้าน "MODEL Kids" เสื้อผ้าเด็กมีหาง

3.คุณชนุรัก แซ่ย่าง ผู้ประกอบการร้าน "V Shanel" เสื้อผ้าสไตล์ยีนส์สำหรับวัยรุ่น

4.คุณบัณฑิต พัชรธรรมโรจน์ ผู้ประกอบการร้าน "96 Studio" เสื้อผ้าผู้ชายสไตล์แคชชวล

5.คุณมณีรัตน์ สมุทรพัฒนพงศ์ ผู้ประกอบการร้าน "SHIRTFOLDING" เสื้อผ้าผู้ชายดีไซน์ทันสมัย

ซึ่งผู้ประกอบการทั้ง 5 ท่านนี้ เป็นผู้ประกอบการร้านค้าที่มีแบรนด์ของตนเอง ประสบความสำเร็จจากการสร้าง แบรนด์ของตนเองจนเป็นที่นิยมในวงการค้าส่งและปลีกภายในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้สินค้ายังมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ออกแบบ ผลิตเอง ใช้วัตถุดิบและแรงงานภายในประเทศไทย มีแนวคิดในการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับการตกแต่งร้านค้ารวมถึงการตลาดและประชาสัมพันธ์ พร้อมสามารถเข้ารับการอบรมเรียนรู้กับโครงการและสามารถเสียสละและพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์แลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาสินค้าให้กับผู้ประกอบการใหม่ๆในโครงการได้ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ในอีกไม่นานนี้

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๖:๓๘ บางจากฯ ร่วมสร้างสีสัน ส่งต่อสุขภาพดี ชวน เมย์ รัชนก ร่วมแข่งกีฬา Econmass Sport Day 2024
๑๖:๐๐ จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม เอิ้นหาพี่น้องโค้งสุดท้าย! ชวนมาม่วนซื่นส่งท้ายปี สูดอากาศดีกลางทุ่งดอกไม้บาน ชมงานศิลป์สุดอลัง พร้อมกิจกรรมม่วน ๆ ทั้งครอบครัว 2 สัปดาห์สุดท้าย
๑๕:๓๘ MediaTek เปิดตัว Dimensity 8400 ชิป All Big Core รุ่นแรกสำหรับสมาร์ทโฟนพรีเมียม
๑๕:๕๔ เปิด 10 เทรนด์ฮิตชีวิตดิจิทัลปี 2024 ปีแห่งความหลากหลายด้านป๊อปคัลเจอร์ โดย LINE ประเทศไทย
๑๕:๒๕ สุรพงษ์ ส่งมอบความสุข ขยายเวลาให้บริการสายสีแดง ถึง ตี 2 ในคืนเคานต์ดาวน์ เป็นของขวัญปีใหม่มอบให้แก่ประชาชน
๑๕:๐๗ เอ็นไอเอคัด 8 ผู้ประกอบการไทยสายการแพทย์ - สุขภาพ คว้าโอกาสบุกตลาดเยอรมนี - ยุโรป พร้อมโชว์จุดแข็งในงาน Medica 2024 ตอกย้ำไทย
๑๕:๒๖ EGCO Group คว้าหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2567 ระดับ AA ตอกย้ำความมั่นใจนักลงทุนต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
๑๕:๕๖ เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ แมกซ์ โซลูชัน ส่งมอบความสุขและความอุ่นใจ ต้อนรับเทศกาลปีใหม่แก่สมาชิก Max Card ผ่าน กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ
๑๕:๔๘ แอสตร้าเซนเนก้า ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) กับ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อขับเคลื่อนการวิจัยทางคลินิกในไทย
๑๕:๓๒ ซีเอ็มเอ็มยู มุ่งผลิตบุคลากรชั้นนำผ่านนวัตกรรมการศึกษาและงานวิจัยระดับโลก พร้อมจุดประกายภาคเศรษฐกิจ - สังคม เปลี่ยนแหล่งเรียนรู้สู่ พาร์ทเนอร์การเรียนรู้