โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และบริษัท สุพรีม ไฮทีร่า จำกัด ได้ร่วมกันศึกษา แก้ไข และพัฒนาหุ่นยนต์จ่ายยา เพื่อสร้างประโยชน์ด้านความรวดเร็วในการให้บริการผู้ป่วย ลดเวลาในการรอคอย ลดความผิดพลาดและลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ โดยมีศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (TCELS) ให้การสนับสนุนในส่วนของการพัฒนาในเบื้องต้นและประสานงานด้านอื่นๆ ทั้งนี้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เล็งเห็นถึงประโยชน์ของหุ่นยนต์และระบบจ่ายยาดังกล่าว ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการนำนวัตกรรมมาพัฒนาเพื่อก้าวสู่การเป็น ศิริราช 4.0 จึงเกิดการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง 4 องค์กรดังกล่าว และช่วยผลักดันแนวทาง Smart Hospital ในประเทศไทยให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า "หลังจากที่รัฐบาลประกาศแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ไทยแลนด์ 4.0 โดยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม ข้อมูล รวมถึงทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมุ่งหวังให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนนั้น หลายๆ ภาคส่วนก็ได้พยายามสร้างสรรค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงนโยบายและบริบทต่างๆ ทั้งนี้โรงพยาบาลศิริราชเอง ก็ได้ตระหนักถึงความสำคัญของนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และได้ปรับระบบการบริการหลายๆอย่าง เพื่อก้าวสู่การเป็น ศิริราช 4.0 เช่นกัน และความร่วมมือที่เกิดขึ้นในวันนี้ ในภาพรวมจะทำให้ศิริราช เกิดระบบบริหารและจัดการยาแบบอัตโนมัติสำหรับผู้ป่วย โดยเน้นไปที่บริบทของประเทศไทย อีกทั้งเป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพของเภสัชกรที่กำลังขาดแคลนอยู่ได้ และ โครงการติดตั้งและพัฒนาระบบหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติแบบครบวงจร ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาตามนโยบายดังกล่าวเช่นกัน"
ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ รองผู้อำนวยการ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (TCELS) เปิดเผยว่า "ด้วยพันธกิจของ TCELS ที่จะส่งเสริมและสนับสนุน การสร้างองค์ความรู้ การวิจัยและพัฒนาต่อยอดให้เกิด ผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เมื่อทางบริษัท สุพรีม ไฮทีร่า ได้นำความคิดในการพัฒนาระบบหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติมานำเสนอกับทีเซล ซึ่งเรามองเห็นว่าความคิดนี้ ถ้าสามารถต่อยอดในการสร้างแนวความคิดนี้ให้เกิดขึ้นจริง จะเป็นประโยชน์ด้านสาธารณสุขในภาพรวมได้อย่างแน่นอน เราจึงติดต่อไปยังสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (ฟีโบ้) เพื่อพัฒนาจากไอเดียมาเป็นหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติ โดยมีส่วนร่วมในการพัฒนาโปรแกรมในช่วงเริ่มต้นการสร้างหุ่นยนต์ B-Hive 1 จนประสบผลสำเร็จ และหลังจากโรงพยาบาลศิริราชได้ตอบรับแนวคิดในการนำหุ่นยนต์จ่ายยามาใช้ในโรงพยาบาล TCELS ก็ได้ร่วมศึกษา พัฒนาและวิจัยร่วมกับศิริราช ฟีโบ้ และ บริษัทสุพรีม จนเกิดความร่วมมือในการพัฒนาจากหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติ ให้เกิดเป็นระบบหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติแบบครบวงจร ซึ่งหลังจากนี้ ทีเซลจะคอยช่วยประสานงานในส่วนอื่นๆ เพื่อให้ความร่วมมือที่เกิดขึ้น บรรลุผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
รศ.ดร.สยาม เจริญเสียง ผู้อำนวยการ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (ฟีโบ้) เปิดเผยว่า "ฟีโบ้ ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการสร้างหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติ ซึ่งเบื้องต้น เราได้สร้างหุ่นยนต์ต้นแบบ B Hive 1 ขึ้นสำเร็จในปี 2558 ที่ผ่านมา นับเป็นความภาคภูมิใจของนักวิจัยไทย ที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ที่มาจากเอกชน อุตสาหกรรมหรือสังคมอย่างแท้จริง โดยเราได้ต่อยอดจากการสร้างหุ่นยนต์ต้นแบบ มาสู่การสร้าง "ระบบหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติแบบครบวงจร" ซึ่งจะนำมาติดตั้งและใช้งานในโรงพยาบาลศิริราชเป็นแห่งแรก เพื่อทดสอบและพัฒนาให้เกิดการใช้งานที่สมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง"
นายกำธร กาญจนวตี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุพรีม ไฮทีร่า จำกัด เปิดเผยถึงแนวคิดว่า "จากประสบการณ์ในการทำงานในวงการเครื่องมือแพทย์กว่า 35 ปี บริษัทฯ ได้เล็งเห็นว่า การใช้ Bot หรือหุ่นยนต์ มาเป็นส่วนหนึ่งในการให้บริการของโรงพยาบาล น่าจะสามารถลดเวลาในการรอคอยและลดความผิดพลาดจากการทำงานของมนุษย์ได้ จึงได้นำไอเดียในการสร้างหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติ มานำเสนอ TCELS ซึ่งจากจุดนี้ทำให้เราได้ร่วมกับ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (ฟีโบ้) ในการสร้างระบบหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติแบบครบวงจร ด้วยฝีมือนักพัฒนาและนักวิจัยของไทยได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
ทั้งนี้การส่งเสริมการผลิตเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยโดยฝีมือคนไทยที่มีมาตรฐานสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจาก นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เพื่อทำให้เกิดขึ้นได้จริง ต้องขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ทั้ง ทีเซล ฟีโบ้ และ โรงพยาบาลศิริราช ที่ทำให้เกิดความร่วมมือในครั้งนี้เกิดขึ้น"
การลงนามบันทึกความเข้าใจ 4 องค์กร สู่ศิริราช 4.0 ระหว่างคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (TCELS), สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และบริษัท สุพรีม ไฮทีร่า จำกัด จะทำให้เกิดความร่วมมือในระดับนโยบาย และเป็นก้าวแรกของการผลักดันให้เกิด Smart Hospital ขึ้นในโรงพยาบาลศิริราช ทั้งนี้ ภายใต้การลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว จึงเกิด "โครงการติดตั้งและพัฒนาระบบหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติแบบครบวงจร" ขึ้น ซึ่งจะมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง โรงพยาบาลศิริราช และ บริษัท สุพรีม ไฮทีร่า จำกัด ในการติดตั้ง และพัฒนาระบบหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติแบบครบวงจรร่วมกัน
ผศ.นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช เปิดเผยว่า "ปัจจุบัน โรงพยาบาลศิริราชมีผู้ป่วยที่เข้ามารับการบริการจากโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โครงการติดตั้งและพัฒนาระบบหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติแบบครบวงจร จะเป็นก้าวใหม่ของโรงพยาบาล ที่จะนำเทคโนโลยีมาช่วยลดปัญหาด้านต่างๆ และเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วย เพื่อให้โรงพยาบาลศิริราชสามารถให้บริการกับผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งหลังจาก การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการติดตั้งและพัฒนาระบบหุ่นยนต์จ่ายยาอัตโนมัติแบบครบวงจร ระหว่าง โรงพยาบาลศิริราช และ บริษัท สุพรีม ไฮทีร่า จำกัดในวันนี้แล้ว ก็จะมีการริเริ่มดำเนินการในส่วนของการก่อสร้างและติดตั้งระบบ รวมถึงการทดสอบการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือน และจะเปิดใช้งานได้จริงช่วงประมาณปลายปี 2560 โดยหุ่นยนต์จ่ายยานี้สามารถรับใบสั่งยาโดยตรงจากแพทย์ผู้รักษา ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และจัดยาประเภทต่าง ๆ ด้วยความถูกต้องรวดเร็ว ทำให้ 95% ของใบสั่งยามีระยะเวลาการจัดยาไม่เกิน 15 นาทีแม้ในช่วงเร่งด่วนและจัดยาส่งไปยังเภสัชกรผ่านระบบสายพานลำเลียงได้อย่างครบวงจร"
นโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 จะนำมาซึ่งความร่วมมือจากทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคการศึกษา และเอกชน ในรูปแบบประชารัฐ ทั้งนี้เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้ก้าวทันโลกได้อย่างแท้จริง