นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ บล.เอเชีย เวลท์ คาดว่า สัปดาห์นี้ SET Index น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด ระหว่าง 1,529-1,550 จุด เพราะว่า การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันอังคารและพุธนี้ มีความเป็นไปได้เกือบ 100% ที่ FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ย หลังจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm payroll) เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์มาก ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ผ่านมา และความเห็นจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ FED ชี้ไปในทิศทางในการที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยอย่างชัดเจนในการประชุมครั้งนี้ ทำให้ความกังวลในเอเชียกลับมา ในเรื่องเม็ดเงินลงทุนไหลกลับออกไปที่สหรัฐฯ ถึงแม้ว่าตัวเลขเหล่านี้จะบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น และ ตลาดหุ้น Wall Street และยุโรปจะปิดบวกเมื่อวันศุกร์ก็ตาม
นอกจากนี้ มีอีกประเด็นหนึ่งคือผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เริ่มกลับมาพูดถึงว่าอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยก่อนจบสิ้นโครงการ QE ในปลายปีนี้ ถึงแม้ความน่าจะเป็นตรงนี้ยังไกลอยู่ แต่เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และตลาดพันธบัตร ได้มีการปรับตัว โดยที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield) ยุโรปได้พุ่งขึ้นสูง และเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ในทันที ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าเม็ดเงินอาจจะมีโอกาสไหลกลับไปที่ยุโรปในระยะต่อไปด้วยเช่นกัน หาก ECB ปรับขึ้นดอกเบี้ยจริง
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันปรับตัวลงอีกต่ำกว่า 50 USD / บาร์เรล ซึ่งยังคงกดดันหุ้นพลังงานอยู่ ปัจจัยอื่น ๆ ในสัปดาห์นี้ การประชุม BOJของญี่ปุ่นในวันพุธ คาดว่าน่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินจากการประชุมในครั้งก่อน
ด้านปัจจัยในประเทศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ไตรมาส 4/59 เติบโต 20% และทั้งปี 59 โต 30% ตามที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า และเราคาดการณ์ต่อไปว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนปี 60 จะเติบโต 13.7%
นอกจากนี้ ตลาดในสัปดาห์นี้ นักลงทุนยังคงรอรายละเอียดของมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ โดยทิศทาง SET Index สัปดาห์นี้ จะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบจำกัดที่กล่าวข้างต้น จึงต้องระมัดระวังในการลงทุน โดยแนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี และจ่ายปันผลสูง ทั้งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการที่เศรษฐกิจโลกนับจากนี้จะฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ สินค้าโภคภัณฑ์ และปิโตรเคมี
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้าน Trading Idea ของ บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำซื้อ PTTGC ของ บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล ราคาเป้าหมายที่ 80.00 บาท จากโมเมนตัมการเติบโตของกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งปีนี้ต่อเนื่องจากงวด ไตรมาส 4/59 ที่เพิ่งรายงานออกมา นอกจากนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันยังให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลในระดับที่น่าสนใจ โดยกำไรสุทธิงวด ไตรมาส 4/2559 ทำระดับสูงสุดของปี59 อย่างแข็งแกร่งอยู่ที่ 9.7 พันลบ. คิดเป็น +57% QoQ และ +108% YoY เนื่องจากไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานที่ฉุดผลการดำเนินงานลงเช่นในสามไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้บริษัทสามารถเดินเครื่องโรงงานหลัก ๆ ได้อย่างเต็มกำลังการผลิต
เราคาดจะเห็นกำไรสุทธิปีนี้แข็งแกร่งกว่าปีที่แล้วภายใต้การเดินเครื่องอย่างไม่สะดุดตลอดทั้งปี นอกจากนี้ เราเพิ่งปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2560-61 ขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนการผลิตที่ปรับปรุงดีขึ้นที่เห็นในงวดไตรมาส 4/2559 ปัจจัยของอุตสาหกรรมยังเป็นแรงหนุนต่อผลประกอบการด้วยส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะในสายโอเลฟินที่กำลังอยู่ในวงจรขาขึ้น การเข้าซื้อกิจการล่าสุดของ PTTGC ในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสายปิโตรเคมีของกลุ่ม PTT ที่เหลือทั้งหมดจาก PTT จะนำไปสู่การผนึกกำลังและการรวมธุรกิจในกลุ่มปิโตรเคมีซึ่งจะมีความยืดหยุ่นในการดำเนินงานมากขึ้น ขณะที่ต้นทุนการเข้าซื้อถือว่าถูกโดยเปรียบเทียบ
"บล.เอเชีย เวลท์ คาดว่า จะเห็นกำไรสุทธิปีนี้และปีหน้าเติบโตต่อเนื่อง 13% YoY และ 5% YoY ตามลำดับ แม้จะไม่มีการบันทึกกำไรจำนวนมากจากผลของสต็อกเช่นที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วก็ตาม ราคาหุ้นในปัจจุบันยังให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจอยู่ที่ราว 5.0% ต่อปี" นายวรุตม์ กล่าว
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้าน Technical รูปแบบราคา (Price Pattern) ของ PTTGC มีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้งสัญญาณซื้อรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน มีเป้าหมายหลักอยู่ที่ 73 บาท ซึ่งหากPTTGC มีความแข็งแกร่งที่มากพอ โดยสามารถปิดตลาดเหนือ 73 บาท ได้ จะทำให้ Price Pattern ของ PTTGC บ่งบอกถึงการทำNew High โดยมีเป้าหมายแรกเพื่อทดสอบ High เดิมที่ 80.75 บาท และมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 90.25 บาท ทั้งนี้PTTGC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 71 บาท มีแนวต้านที่ 72.75, 73.25, และ 73.75 และมีแนวรับที่ 72.00, 71.50, และ 71.00บาท