ดร.สมจินต์ กล่าวเสริมว่า "ความสำเร็จของธุรกิจกองทุนรวมที่ผ่านมานั้น คือผลจากการทำงานเยี่ยงมืออาชีพอย่างต่อเนื่องในการออกแบบสร้างสรรค์หรือเฟ้นหาผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมประสิทธิภาพสามารถตอบโจทย์การลงทุนในช่วงเวลาขณะใดขณะหนึ่งได้อย่างทันท่วงที หรือให้คุณภาพของผลตอบแทนภายใต้การจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมเพื่อความมั่งคั่งและยั่งยืนในระยะยาว รวมถึงการให้ทางเลือกที่หลากหลายและการมีพันธมิตรที่มีประสบการณ์และความรู้ในระดับสากล อาทิ Mercer, Amundi และ FTSE เป็นต้น
โดยในส่วนของการสร้างความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ตอกย้ำการเป็นผู้นำในการบริหารกองทุนเชิงรับ (Passive Investment) นั้น บริษัทฯได้สร้างแนวทางและนโยบายการลงทุนที่ชัดเจนเข้าใจได้ง่าย มีค่าใช้จ่ายเป็นธรรมสมเหตุผล โดยพัฒนาการให้สอดคล้องตามยุคสมัย อาทิเช่น กองทุนดัชนีประเภท Pure Index Fund ในตระกูล SET50 ซึ่งประกอบไปด้วย กองทุนเปิดทหารไทย SET50 กองทุนเปิดทหารไทย SET50 ปันผล และกองทุนเปิดทหารไทย SET50 RMF ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมกว่า 11,759 ล้านบาท ณ วันที่ 14 มีนาคม 2560 ให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนจนถึง 13 มีนาคม 2560 อยู่ที่ 14.54% ต่อปี กองทุนดัชนีประเภท Rule Base ในตระกูลJumbo25 ที่มีชื่อเสียง ประกอบด้วย กองทุนเปิด Jumbo25 กองทุนเปิด Jumbo25 RMF กองทุนเปิด Jumbo25 LTF และกองทุนเปิด Jumbo Plus LTF ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมกว่า 15,850 ล้านบาท ณ วันที่ 14 มีนาคม 2560 กองสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นจนเคยได้รับรางวัลจาก Morningstar และล่าสุดกองทุนดัชนีน้องใหม่ในลักษณะ Smart Beta ที่ได้พัฒนาร่วมกับพันธมิตรผู้เชียวชาญการลงทุนแบบดัชนีระดับโลก FTSE และเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2559 ที่ผ่านมากับกองทุนในตระกูลหุ้นขนาดกลาง-เล็ก หรือที่เรียกชื่อว่า Thai Mid Small Minimum Variance ที่ให้โอกาสของผลตอบแทนพร้อมควบคุมความผันผวนของพอร์ตลงทุนโดยเฉพาะที่เกิดจากคุณลักษณะของหุ้นขนาดกลาง-เล็กอีกด้วย
กล่าวโดยเฉพาะสำหรับธุรกิจกองทุนรวมในรอบปี 2559 ที่ผ่านมานั้น เราพบว่าการที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีความไม่แน่นอนสูง อัตราดอกเบี้ยต่ำลงอย่างเป็นปรากฏการณ์นั้น ได้นำโลกเข้าสู่ยุคที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า New Normal อย่างเต็มตัว การลงทุนที่เสี่ยงต่ำ ได้ผลตอบแทนน้อยลงมาก ในขณะที่การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงก็มีความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนจึงพยายามแสวงหาผลิตภัณฑ์ลงทุนที่เข้าใจได้ง่าย ให้ผลตอบแทนที่สูงพอประมาณขณะที่มีความผันผวนที่ไม่สูงจนเกินไป ดังนั้นการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมประสิทธิภาพสามารถตอบโจทย์การลงทุนในช่วงเวลาดังที่กล่าวมาจึงเป็นหัวใจสำคัญแห่งความสำเร็จของบริษัทฯ ความโดดเด่นและผลสำเร็จจากกองทุนที่เพิ่งจัดตั้งใหม่ในปี 2559 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะกองทุนเปิดทหารไทย ธนเพิ่มพูน จัดตั้งขึ้นเมื่อต้นปี (25 ม.ค. 2559) โดยทีมงานได้ออกแบบให้เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ต่อยอดความสำเร็จของกองทุนเปิดทหารไทย ธนพลัส เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการบริหารสภาพคล่องแต่ขณะเดียวกันก็ต้องการยกระดับของผลตอบแทนให้สูงกว่าการลงทุนรูปแบบเดิมๆ ปัจจุบัน AUM ของกองทุนได้เติบโตถึง 106,346 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 14 มีนาคม 2560) และกองทุนเปิดทหารไทย Global Income ที่ทีมงานได้กลั่นกรองและคัดสรรกองทุนทั่วโลกจนได้เป็นพันธมิตรกับ PIMCO ซึ่งกองทุนหลัก (Master Fund—PIMCO GIS Income Fund) มีประวัติที่สามารถสร้างผลตอบแทนในรูปแบบปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ บริษัทฯได้จัดตั้งกองทุนเปิดทหารไทย Global Income ขึ้นในวันที่ 19 พ.ค. 2559 ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิถึง 42,855 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 13 มีนาคม 2560) ตอบโจทย์หลักของผู้ลงทุนคือสามารถสร้างกระแสเงินสดให้แก่ผู้ลงทุนมาโดยตลอดทุกไตรมาสผ่านการขายคืนอัตโนมัติ (Auto Redemption) โดยกองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนสะสมได้ถึง 6% นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (ในระยะเวลาประมาณ 10 เดือน)
สำหรับธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในความภาคภูมิใจของ TMBAM นั้น การออกแบบผลิตภัณฑ์โดยมุ่งพัฒนาให้การลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริหารโดยบริษัทฯ มีธรรมชาติในการลงทุนลักษณะเดียวกับการลงทุนในกองทุนรวม โดยเฉพาะการให้อำนาจพิเศษ 3 ประการคือ "อำนาจในการเลือกลงทุนเองได้" เพราะความต้องการและความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน "อำนาจในการกระจายการลงทุนได้" โดยเฉพาะการเปิดโอกาสลงทุนยังต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสของผลตอบแทน และลดทอนความเสี่ยง และ "อำนาจในการปรับเปลี่ยนได้" ซึ่งก็คือการที่พนักงานมีช่องทางได้รับข้อมูลข่าวสารการลงทุนอย่างต่อเนื่อง สามารถตัดสินใจปรับเปลี่ยนการลงทุนได้อย่างอิสระ มีประสิทธิภาพและทันท่วงที เพราะสินทรัพย์ต่างประเภทย่อมมีความเสี่ยงที่แตกต่าง และเหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป ด้วยแนวคิดดังกล่าวจึงทำให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ TMBAM M Choice ซึ่งจดทะเบียนแล้ว ของ TMBAM ได้รับความสนใจจากลูกค้ากลุ่มต่างๆ และสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศอันทรงเกียรติ 2 ปีซ้อน (ประจำปี 2558 และ 2559) ได้รับโล่ห์พระราชทานจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในประเภทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จัดการแบบกองทุนร่วม (Pooled Fund) และยังส่งผลต่อเนื่องไปถึง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ทาง TMBAM ช่วยบริหารจัดการลงทุนในลักษณะกองทุนเดี่ยว (Single Fund) คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งจดทะเบียนแล้ว (สสวท) ยังได้รับรางวัลยอดเยี่ยมสูงสุดด้วยสองปีซ้อนในประเภทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มีขนาดเล็กกว่า 1,000 ล้านบาทเช่นกัน (ประจำปี 2558-2559)
ดร.สมจินต์กล่าวเพิ่มเติมว่า "การต่อยอดความสำเร็จอันโดดเด่นในปี 2559 คือความท้าทายที่สำคัญและต้องอาศัยความร่วมมือช่วยเหลือของบริษัทแม่คือธนาคาร TMB และพันธมิตรทางธุรกิจโดยเฉพาะผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อหน่วยลงทุน โดยกลยุทธ์ในการบริหารงานในปี 2560 เพื่อให้ผู้ลงทุนให้ได้รับผลสำเร็จทางการลงทุนอย่างยั่งยืน และบริษัทสามารถยืนหยัดในการเป็น "คู่ชีวิตการลงทุน : Life Partner" ได้อย่างแท้จริง รวมถึงการขยายฐานผู้ลงทุนให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะนั้น จะประกอบด้วยกลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ที่ผสมผสานการให้ความรู้ทางการลงทุน (Educational Marketing) การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการเบ็ดเสร็จ และระบบธุรกรรมออนไลน์อันปี่ยมประสิทธิภาพ เป็นสำคัญ และเติมเต็มด้วยการพัฒนาเครื่องมือเพื่อช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับยุคสมัยดิจิตอลกับพฤติกรรมของผู้ลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่การพัฒนาต่อยอดโปรแกรมแบบจำลองการลงทุนและติดตามผลออนไลน์ที่เราเรียกว่าโปรแกรม My Dream สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปในการลงทุนในกองทุนรวม และโปรแกรม Retire Rich Workbook สำหรับพนักงาน ลูกจ้างบริษัทเอกชนในการลงทุนในการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ" ดร.สมจินต์กล่าว